ผู้แต่ง :: กิตติพงศ์ ดารักษ์
การสอนวรรณคดียุคปฏิรูปการศึกษาไทย
วรรณคดีไทย เป็นภูมิปัญญาของกวีหรือนักประพันธ์ไทย เปรียบเสมือนเพชรล้ำค่าเป็นสมบัติคู่แผ่นดินไทยมาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งสะท้อนภาพของสังคมไทยตามทัศนะและประสบการณ์ของกวีที่อยู่ในสังคมนั้น ๆ โดยนำเสนอภาพตามมุมมองของตนผ่านตัวอักษรในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านวรรณศิลป์ ออกสู่สายตาผู้อ่าน ดังนั้น การศึกษาวรรณคดี จึงเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ บรรลุจุดมุ่งหมายได้เป็นอย่างดี เพราะวรรณคดีก็คือ ภาพสะท้อนสังคมหรือเปรียบเสมือนกระจกเงาบานใหญ่ของสภาพสังคมไทย
การสอนวรรณคดีไทย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าและช่วยธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิด พฤติกรรม ค่านิยมของคนในยุคสมัย นั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรรวมไปถึงคติข้อคิด อุทาหรณ์สอนใจจากวรรณคดีเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่าที่กวีได้ฝากไว้ผ่านกลวิธีการประพันธ์ในงานวรรณคดีนั้น ๆ
ที่ผ่านมาโดยทั่วไปการสอนวรรณคดียังเป็นการสอนอ่านเอาเรื่อง ผู้สอนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายและท่องจำศัพท์โบราณหรือศัพท์ยาก ๆ เพื่อจะได้เก็บไว้ตอบคำถามในการทำข้อสอบ หรือไม่ก็มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแปลความหมายในงานประพันธ์ร้อยกรองที่เป็นภาษาไทย และความงามด้านวรรณศิลป์ที่ปรากฏในงานประพันธ์นั้น ๆ ให้ออกมาเป็นภาษาไทยร้อยแล้วที่สละสลวยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้สอนยังมุ่งเน้นย้ำให้ผู้เรียนพยายามจดจำถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องของวรรณคดีจำเป็นต้องจดจำให้ขึ้นใจ
การจัดการสอนในประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ก่อให้เกิดความสุนทรียภาพในการเรียนวรรณคดีไทยตรงกันข้ามกลับทำให้ผู้เรียนวรรณคดีไทยเบื่อหน่ายและเป็นผลสะท้อนให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติในทางลบต่อวิชาภาษาไทยไปในที่สุด
ดังนั้น เพื่อให้การเรียนการสอนวรรณคดีไทยบรรลุวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติให้ยุคปฏิรูปการศึกษา กล่าวคือ การเรียนรู้ต้องเน้นให้ผู้เรียนคิดเป็นทำเป็นรักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง มุ่งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกที่ถูกต้องในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย จึงขอเสนอแนวทางในการสอนวรรณคดีไทยเพื่อเกิดความสอดคล้องกับยุคโลกาภิวัตน์ ดังนี้ต่อไปนี้
๑. ผู้สอนวรรณคดี พึงระลึกถึงลักษณะสำคัญของวรรณคดีเอาไว้เสมอว่า วรรณคดีคือ ภาพสะท้อนสภาพสังคมแห่งยุคสมัย นักกวีหรือผู้ประพันธ์จะสะท้อนแนวคิด ทัศนะของตนผ่านลงไปในเนื้อเรื่องที่ผู้ประพันธ์ได้แต่งขึ้น ดังนั้น ผู้สอนจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้ผู้เรียนมองเห็นและวิเคราะห์ภาพ ตลอดจนแนวคิดที่กวีหรือนักประพันธ์สะท้อนออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด การนำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัยมากล่าวถึงนั้น เป็นเพียงฉากหลังที่จะช่วยเสริมให้ภาพสะท้อนเด่นชัดขึ้นเท่านั้นแต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก
๒. ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้จักใช้ความคิด ใคร่ครวญใช้สติปัญญาของตนในการแก้ปัญหาที่
เกิดขึ้น การอ่านงานวรรณคดีจะทำให้มองเห็นแง่มุมเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่หลากหลายต่างยุคต่างสมัย พฤติกรรมของตัวละครในวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ ที่จัดเป็นบทเรียนชีวิตจำลองที่ทักทายให้ผู้เรียนได้รู้จักขบคิด ติดตาม ผู้สอนควรหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเป็นแบบฝึกประสบการณ์ชีวิตของผู้เรียนได้ทดลองใช้ทัศนะและแนวคิดของตนในการไตร่ตรอง ใคร่ครวญ เพื่อพัฒนาความรู้และสติปัญญาของผู้เรียนเอง
๓. ควรเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นความงดงามและศิลปะของการใช้ภาษาไทยในการรังสรรค์ ผลงานของกวีหรือนักประพันธ์ ซึ่งผู้เรียนควรจะได้เรียนเกี่ยวกับสุนทรียภาพ กล่าวคือ ความซาบซึ้งในรสคำ ความหมาย ความไพเราะ การเลือกสรรถ้อยคำอักษรที่ถูกบรรจงเรียบเรียงเพื่อก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้อ่าน นอกจากนี้ ผู้สอนควรใช้หลักภาษามาช่วยอธิบายถึงการเลือกสรรถ้อยคำและการใช้ประโยคของวรรณคดีนั้น ๆ ตลอดถึงให้ผู้เรียนมองเห็นความสามารถของกวีหรือนักประพันธ์ที่เลือกสรรภาษามาร้อยเรียงอย่างมีศิลปะและอลังการ
๔. ควรใช้เนื้อหา เหตุการณ์ของวรรณคดีที่กวีได้รังสรรค์เอาไว้มาเป็นแรงจูงใจสำคัญในการที่จะทำให้ผู้เรียนเป็นผู้มีนิสัยรักการอ่านและเป็นผู้ใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ผู้สอนจะต้องพยายามใช้งานวรรณคดีที่ผู้เรียนกำลังเรียนอยู่นั้นเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากจะติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง หรือเห็นความสำคัญของการค้นคว้าความรู้ด้านอื่น ๆ มาประกอบ หรือขยายความให้งานวรรณคดีที่ผู้เรียนกำลังอ่านอยู่เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนหรือคนอื่น ๆ เพื่อเป็นการขยายโลกทัศน์ของตนให้กว้างขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่า “ครูวรรณคดี” ควรมองให้เห็นถึงคุณค่าของวรรณคดีในด้านภาษาอันเป็นมรดกของชาติ ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความตอนหนึ่งว่า...
“ภาษาไทยนับเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ เป็นทางสำหรับแสดงความเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงามอย่าง เช่น ในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเอง ซึ่งต้องหวงแหน ประเทศใกล้เคียงของเราหลายประเทศ มีภาษาของตนเอง แต่ว่าเขาก็ไม่แข็งแรง เขาพยายามหาทางที่จะสร้างภาษาของตนเองไว้ให้มั่นคง เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้”