ผู้แต่ง :: พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ผศ.ดร.
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง
(ปปร.) รุ่นที่ ๑๕ สถาบันพระปกเกล้า
๑. ความนำ
จากสงครามโลกครั้งที่ ๒ โครงสร้างของเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญ กลางทศวรรษ ๑๙๗๐ โลกหลังสงครามพยายามสร้างระเบียบโลกที่ทำให้พฤติกรรมทางเศรษฐกิจมีความรับ ผิดชอบต่อสังคม ได้ให้ความสำคัญกับจุดมุ่งหมายในด้านการมีงานทำเต็มที่ และเน้นความมั่นคงทางสังคม (Social Security) เหนือสิ่งอื่นใด อีกทั้ง การพยายามลดช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศยากจน การที่ประเทศต่างๆ ในสังคมโลกไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบายสาธารณะให้สามารถตอบผลประโยชน์และความ ต้องการของกลุ่มต่างๆ ในสังคมได้อย่างประสานสอดคล้อง จึงทำให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมจากความสุดขั้วภายในสังคมและระหว่างสังคม ระหว่างคนรวยกับคนจน[๑]
ห่วงโซ่ที่เชื่อมสังคมมนุษย์ให้สามารถอยู่ ร่วมกันอย่างมีความสุขท่ามกลางความแตกต่างทางพหุวัฒนธรรม (Multi-Culture) คือ “ระบบการเมือง” (Political System) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการเมืองเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดนโยบาย สาธารณะ (Public Policy) เพื่อให้กลุ่มคนต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคมสามารถเข้าถึงโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์และความต้องการด้านปัจจัย ๔ แต่การที่จะดำเนินการจัดการผลประโยชน์ด้านทรัพยากรได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยตัวแปรด้านอำนาจทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง[๒]
ด้วยเหตุนี้ การเกิดขึ้นของระบบการเมืองนั้น ปัจจัยประการหนึ่งคือ “การใช้การเมืองเป็นเครื่องในการจัดการความขัดแย้งในด้านต่างๆ ของประชากรที่อาศัยอยู่ในรัฐหรือชุมชน เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับโอกาสทั้งในแง่ของทุน ความเสมอภาค ความเท่าเทียม และการดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ของกลุ่มคนต่างๆ จะ เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจ (Economy) ระบบการเมืองการปกครอง (Politics) จึงมีความสัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องเชื่อมต่อกันและเกื้อกูลกันอย่างเป็นระบบ ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นระบบเศรษฐกิจที่ดีจะช่วยเกื้อหนุนและเป็นปัจจัยให้ระบบสังคม เคลื่อนไหวอย่างราบรื่น ในขณะที่ระบบสังคมที่ดีก็จะเกื้อหนุนให้ระบบการเมืองและการปกครองดำเนินไป อย่างไม่สะดุด เป็นต้น ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นกระบวนการทางพฤติกรรมของมนุษย์ทางสังคมที่ล้วนเกิดขึ้นและ ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
ถึงกระนั้น ในแต่ละปี ประชากรของมนุษยชาติเพื่มจำนวนเพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ ในขณะเดียวกัน มนุษยชาติก็มีความต้องการทรัพยากรที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากทรัพยากรของโลกมีจำนวนจำกัด จึงทำให้ความต้องการกับทรัพยากรไม่ประสานสอดคล้องกัน จึงทำให้มนุษยชาติพยายามที่แสวงหาทรัพยากรเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เมื่อแต่ละคนพยายามที่จะขยายพื้นที่ของความต้องการ จึงทำให้ความต้องการของมนุษยชาติขบเหลี่ยมของกันและกัน จนนำไปสู่ความขัดแย้ง และบางสถานการณ์นำไปสู่ความรุนแรง เพราะมนุษยชาติไม่สามารถได้รับการตอบสนองตามที่ตัวเอง หรือกลุ่มตัวเองต้องการ ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น และขยายวงกว้างจนยากต่อการบริหารจัดการได้
ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากวิกฤติการณ์ทางสังคมนั้น กลไกหลักสำคัญประการหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศคือ “การเมือง” จะเข้าไปดำเนินการบริหารจัดการอย่างไร เพื่อกลุ่มคนต่างๆ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และยอมรับได้ต่อการแบ่งปันผลประโยชน์และความต้องการของผู้มีอำนาจในการ บริหารจัดการ ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องอาศัย “กลไกทางด้านเศรษฐศาสตร์” เข้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อให้การดำรงอยู่ของอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะการบริหารจัดการ หรือดำเนินการตามนโยบายแห่งรัฐเป็นไปอย่างราบรื่นได้
พระพุทธเจ้าทรงนำเสนอตัวอย่างของการแก้ปัญหาปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเสนอสาเหตุของตัวสาเหตุที่แท้จริง ตลอดจนแนวทางการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนเอาไว้ใน “กูฏทันตสูตร” ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจะนำมาเสนอเพื่อเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ (Best Practice) เพื่อจะได้ถอดบทเรียนสำคัญในการแก้วิกฤติการณ์ทางสังคมที่สัมพันธ์กับการ เมือง และเศรษฐกิจ และตอบคำถามที่ว่า ในพระสูตรดังกล่าวนี้ ได้นำเสนอหลักการที่ว่า “เศรษฐศาสตร์การเมือง” เอาอย่างไร อีกทั้งได้นำเสนอหลักพุทธธรรมเพื่อการแก้ปัญหาและการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมได้อย่างไร
๒. แนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง : ประวัติและพัฒนาการ
เศรษฐศาสตร์การเมือง[๓] (Political Economy) มีความหมายกว้างขวาง และครอบคลุมพื้นทั้งแนวคิดและแนวปฏิบัติการค่อนข้างมาก ถึงกระนั้น ความหมายประการหนึ่งคือ ความหมายทางเศรษฐศาสตร์ที่ พยายามจะนำแนวคิดด้านอื่นๆ เข้าไปรวมด้วย เช่น สังคม วัฒนธรรม ประเพณี พฤติกรรมของคน กฎหมาย การเมือง(ความเกี่ยวข้องกับรัฐ) และพิจารณาถึงปูมหลังของแต่ละทฤษฎีด้วย อีกทั้งเป็นการศึกษาและวิเคราะห์โครงสร้างของระบบ มากกว่า ที่จะพิจารณาแต่ในเชิงคณิตศาสตร์และตรรกะบนการตั้งสมมติฐาน
“เศรษฐศาสตร์การเมือง”[๔] (Political Economy) ได้รับการนำมาใช้ก่อนคำว่า เศรษฐศาสตร์ (Economics) จะเห็นว่า เศรษฐศาสตร์การเมืองในสมัยแรกเป็นความพยายามแยกให้เห็นว่า การปกครองเมือง (Political) มีความแตกต่างจากการปกครองแบบเดิม ซึ่งคำว่า Economy มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่าการจัดสรรครัวเรือน การเพิ่มคำว่า “Political” เข้าไปอาจทำให้หมายถึง การจัดสรรในแบบที่แตกต่างไปจากครัวเรือนทั่วไปเป็นแบบเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในสมัยนั้น โดยที่การศึกษาจะเกี่ยวกับการดำเนินงานและการผลิตที่บริหารโดยรัฐ (รัฐเป็นสถาบันใหม่ในสังคม) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของระบบทุนนิยมที่เพิ่งเกิดใหม่และมีบทบาทมากขึ้น
เศรษฐศาสตร์การเมืองนั้นได้รับการจัดเป็นระบบความคิดที่ชัดเจนในคริสตศตวรรษ ที่ ๑๗ ซึ่งเป็นช่วงของการต่อสู้ระหว่างทุนนิยมกับศักดินานิยมในยุโรป และได้มีการนำมาใช้เป็นครั้งแรกในอังกฤษสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เพื่อแทนที่แนวคิดสำนักธรรมชาตินิยม (Physiocracy) ของฝรั่งเศส งานเขียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมืองชิ้นแรกๆ ได้แก่ The labor theory of value (ซึ่งเริ่มโดย จอห์น ล็อก), พัฒนาต่อโดย อดัม สมิธ และวิเคราะห์ต่อในเชิงวิพากษ์โดยคาร์ล มาร์กซ
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ การที่วิชาเศรษฐศาสตร์ในแบบกระแสหลักได้เฟื่องฟูจนถึงขีดสุด จึงทำให้คำว่า เศรษฐศาสตร์การเมือง ได้รับการแทนที่ด้วย คำว่า เศรษฐศาสตร์ และทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์ที่ว่านั้น ก็มีการใช้แนวคิดในเชิงองค์รวมน้อยลง เนื่องจากคำพยายามที่จะทำให้เศรษฐศาสตร์เป็น วิชาที่สามารถตัดออกจากอารมณ์ ความรู้สึกทางวัฒนธรรม สังคมและการเมือง เพื่อให้วิชาดังกล่าวมีความคิดเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น เป็นผลทำให้ เศรษฐศาสตร์กลายเป็นสาขาวิชาที่ไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของสังคม การเมืองหรือวัฒนธรรมได้อย่างรอบด้านเท่าที่ควรจะเป็น
ในภายหลัง ที่เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาก ขึ้น เศรษฐศาสตร์การเมือง จึงปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง และมีบทบาทมาถึงปัจจุบัน ถึงกระนั้น เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Neo Classic) ซึ่งมีความโดดเด่นในการชี้นำให้เห็นถึงสาเหตุการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สังคมสามารถนำทรัพยากรมาใช้ในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกลไกตลาดที่ทำงานอย่างเสรี แต่ความเป็นจริง กลไกตลาดไม่เคยทำงานอย่างเป็นอิสระ ถูกครอบงำด้วยอำนาจที่ชัดเจนและที่ไม่ชัดเจน เป้าหมายการใช้อำนาจเหนือกลไกตลาดก็คือ การได้กรรมสิทธ์ส่วนเกิน (surplus) เศรษฐศาสตร์การเมืองวิเคราะห์เศรษฐกิจ บนพื้นฐานความจริงทางสังคม อำนาจทางการเมือง การกระทำในประวัติศาสตร์เพื่ออธิบายรูปแบบเติบโตที่ขาดสมดุลว่า เพราะเหตุใดการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจึงทำให้การพัฒนา ดังกล่าวทำให้สังคมเกิดความแตกแยก และแย่งชิงผลประโยชน์และความต้องการด้านทรัพยากรสูงมากขึ้น
๓. หลักการและแนวทางเศรษฐศาสตร์การเมืองในกูฏทันตสูตร
สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ตั้งข้อสังเกตต่อพระสูตรนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “พระพุทธเจ้าทรงสอนรัฐศาสตร์แบบเสริมเศรษฐศาสตร์ในการทรงแสดงธรรมแก่กูฎทันต พราหมณ์ นักปกครองผู้หนึ่งของแคว้นมคธพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ลดอาชญากรรม ด้วยเพิ่มการจัดเศรษฐกิจให้ดี ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีรายได้ มีความเป็นอยู่ดี เป็นการนำเรื่องเศรษฐกิจมาช่วยในการปกครองด้วย”[๕] สอดรับกับอดิศักดิ์ ทองบุญ[๖] ที่ชี้ว่า “แนวคิดในกูฏทันตสูตรเป็นการนำเสนอแนวทางการปฏิวัติแนวทางคิดทางเศรษฐกิจโดย การพัฒนาเศรษฐกิจขั้นมูลฐานที่สัมพันธ์กับแนวคิดทางการเมืองแบบ ธรรมาธิปไตย” คำถามมีว่า “แนวคิดในกูฏทันตสูตรได้นำเสนอหลักการและแนวทางดังกล่าวอย่างไร” จึง ทำให้นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนามองว่า ควรนำพระสูตรดังกล่าวนั้นมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของสังคมไทยในปัจจุบัน ก็จะเกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชนได้อย่างมาก
๔. การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองแบบยั่งยืนตามแนวกูฏทันตสูตร
ปัจจัย ๔ คือ “เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค” นั้น ถือได้ว่าเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่าง ยิ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดประการหนึ่งก็คือ “อาหาร” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง” ซึ่งความหิว หรือความต้องการนั้น ถือว่าเป็นปัจจัย หรือตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากกรณีการแย่งชิงข้าวสาลีตามที่ปรากฏในอัคคัญญสูตร หรือการที่ภิกษุใส่ร้ายพระทัพพมัลลบุตรในข้อหาจัดวาระในลำดับสุดท้าย จนทำตัวเองได้อาหารที่ไม่ประณีตก็เกิดจากความต้องการด้านอาหาร
ในกูฏทันตสูตรนั้น เริ่มแรกนั้นพระเจ้ามหาวิชิตราชทรงมิได้ตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาเรื่อง “ความยากจน” ซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัย ๔ ว่า เป็นภัยคุกคามต่อสถานะความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ แต่สิ่งกลัวมากที่สุดคือ “การกลัวว่าจะสูญเสียอำนาจทางการเมืองการปกครองที่ตัวเองมีและเป็น” ฉะนั้น เพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ จึงต้องการบูชามหายัญ เพื่อที่จะเอาอกเอาใจเทพเจ้าหรือสิ่งลึกลับเบื้องบนซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือ ธรรมชาติ เมื่อเทพเจ้าเบื้องบนเกิดความพออกพอใจก็จะอำนวยผลให้เกิดเป็นประโยชน์แก่ มนุษย์โลก ความเชื่อเช่นนี้ถือเป็นความเชื่อแต่โบราณที่มีมานานแล้วก่อนพุทธศาสนาจะถือ กำเนิดขึ้นด้วยซ้ำ เป็นความเชื่อของศาสนาพราห์มในเรื่องเทพเจ้าว่ามีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดในโลก และสามารถดลบันดาลให้สรรพสัตว์มีความสุขปราศจากทุกข์ภัยต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นประเพณีประพฤติปฏิบัติตาม ๆ กันมาด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนและบูชายัญเทพเจ้าเหล่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด ทำให้ปัญหาเดิมไม่ได้รับการแก้ไข ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศโดยตรงและก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา
เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเจ้ามหาวิชิตราชแล้ว บ้านเมืองของพระองค์เกิดความไม่สงบ โจรผู้ร้ายชุกชุมคอยเบียดเบียนประชาชนคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อน พระพุทธองค์มองว่าศัตรูของพระองค์ไม่ใช่โจร เพราะถึงจะปราบปรามอย่างไรก็ไม่หมด โจรที่เหลือก็ยังคงเบียดเบียนทำความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่นได้อยู่ร่ำไป ประชาชนยังยากจนอยู่ และหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ดังแผนภาพต่อไปนี้
จากแผนภาพดังกล่าวอธิบายได้ว่าการอยู่ร่วมกันของมนุษย์โลกนี้ประกอบไปด้วย ระบบต่าง ๆ ที่เปรียบเสมือนลูกโซ่หรือฟันเฟืองจำนวนมากที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันอยู่ เมื่อระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นฟันเฟืองตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในสถานะที่เป็นปรกติ หรือดีประชาชนไม่ยากจนไม่มีความลำบากในการทำมาหากินแล้ว ก็จะส่งผลต่อฟันเฟืองตัวอื่น ๆ ได้แก่ ระบบสังคม คือคนในสังคม ประชาชนในประเทศก็จะมีคุณภาพ การเมืองและการปกครองก็ราบรื่นไม่สะดุดติดขัด และในท้ายที่สุดความสันติสุขก็จะเกิดขึ้นกับสังคม ๆ นั้น
ใน “กูฏทัณฑสูตร”[๗] สะท้อนให้เรามองเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว เพราะเมื่อวิเคราะห์จากประเด็นดังกล่าวพบว่า การที่พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงเพียบพร้อมไปด้วยโภคสมบัติ มนุษย์สมบัติ และปรารถนาให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่กับพระองค์ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ยังทรงพระ ชนม์อยู่ ฉะนั้น พระองค์ทรงดำริตามวิธีการที่นิยมกระทำในยุคนั้นคือ “การบูชายัญ” โดยมุ่งหวังว่า สามารถสร้างความพอใจให้แก่เทพเจ้าผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้น
ในขณะที่พราหมณ์ปุโรหิตมองว่า “หัวใจของพระราชาคือประชาชน” ถ้าพระองค์ไม่สามารถกุมหัวใจ หรือเข้าไปนั่งในใจของประชาชนได้ ผลที่ตามมาก็คือ “การสูญเสียพลังมวลชน” จนนำไปสู่การต่อต้าน และประท้วงเพื่อโค่นล้มราชบัลลังก์ของพระองค์ (ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบประเด็นนี้ได้จากกรณีโมฮัมเมด เบาอะซีซี (Mohamed Bouazizi เกิด 29 มี.ค. 1984 ตาย 4 ม.ค. 2011) เขาเป็นชาวตูนิเซียที่ยากจน แม้ว่าจะได้รับการศึกษามาพอประมาณ แต่ไม่ถึงขั้นมหาวิทยาลัยตามบางข่าวกล่าว เลี้ยงชีพด้วยการเป็นพ่อค้าแผงลอยที่เมือง ซิดิ บูซิด (Sidi Bouzid) เขาถูกตำรวจกลั่นแกล้งรีดไถเป็นประจำ ครั้งหลังสุดถูกหมายปรับเป็นเงิน 400 ดีนาร์ ซึ่งเท่ากับรายได้ 2 เดือน เมื่อถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2010 เกิดการเผชิญหน้าระหว่างหัวหน้าตำรวจที่เป็นสตรีพร้อมกับลูกน้องโดยตำรวจจะ ยึดตราชั่งของเขาไป แต่เขาไม่ยอม เกิดการโต้เถียง เบาอะซีซี ถูกตบหน้า พวกตำรวจจับเขากดไว้ที่พื้น ยึดตราชั่งและสินค้าไป เขาได้ประท้วงโดยการเผาตัวเองที่หน้าศาลากลางเทศบาล อันเป็นชนวนให้เกิดการลุกขึ้นสู้ทั่วประเทศ นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่าเขาเป็น "วีรชนผู้พลีชีพเพื่อการปฏิวัติครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง" ยุติระบอบปกครองยาวนาน 23 ปีของประธานาธิบดี เบน อาลี ดูรายละเอียดใน http://www.youtube.com/watch?v=IaRdvCazpjM)
อย่างไรก็ตาม โจทย์ และคำตอบของพระราชากับพราหมณ์อาจจะสอดคล้องกัน แต่วิธีการในการแก้โจทย์นั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ พราหมณ์จึงนำเสนอสถานการณ์จริงเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในแคว้นต่อ พระราชาว่า “บ้านเมืองของพระองค์ยังมีเสี้ยนหนาม มีการเบียดเบียน โจรยังปล้นบ้าน ปล้นนิคม ปล้นเมืองหลวง ดักจี้ในทางเปลี่ยว พระองค์โปรดให้ฟื้นฟูพลีกรรมก็จะชื่อว่า กระทำสิ่งที่ไม่สมควร” นอกจากนั้น พราหมณ์ยังได้เสนอความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลเสียของการหาทางออกด้วยวิธี การรุนแรงว่า “การปราบเสี้ยนหนามคือโจร ด้วยการประหาร จองจำ ปรับไหม ตำหนิโทษ หรือเนรเทศ ไม่ถือว่าเป็นการกำจัดเสี้ยนหนามคือโจรได้อย่างถูกต้อง เพราะว่าโจรที่เหลือจากที่กำจัดไปแล้วนั้นก็จะมาเบียดเบียนบ้านเมืองได้ใน ภายหลัง”
ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น พราหมณ์จึงได้นำเสนอ “นโยบายคู่ขนาน” (Dualistic Policy) อันเป็นการดำเนินนโยบายเชิงรัฐประศาสนศาสตร์ควบคู่ไปกับนโยบายเกี่ยวกับการ พัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายคู่ขนานนั้นประกอบไปด้วย “ไตรภาค” หรือ “กลยุทธ์สามเส้า” กล่าวคือ
(๑) การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชนชั้นรากหญ้า โดยการพระราชทานพันธุ์พืช และอาหารให้แก่พลเมืองผู้ขะมักเขม้นในเกษตรกรรม และการเลี้ยงปศุสัตว์ เพื่อให้เกษตรกรนั้นไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องต้นทุนทางสินค้า หรือต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบจากแคว้นอื่นมากจนเกินไป
(๒) การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับกลาง และระดับสูง โดยการสนับสนุนต้นทุน ทางการผลิต หรือต้นทุนทางการเงินให้แก่ธุรกิจขนาดกลาง อันเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ที่คอยรับซื้อสินค้าทางการเกษตรจากเกษตรกรไปขายใน แคว้นอื่น ๆ หรือภายในแคว้นของพระองค์
(๓) การเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คณะผู้บริหารราชการแผ่นดิน ซึ่ง การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยข้าราชการเป็นมันสมอง และผลักดันนโยบายต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ดังนั้น การพระราชทานอาหาร และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ราชการนั้นจึงถือได้ว่าเป็นมาตรการในการสร้างแรงจูง ใจได้อย่างดีที่สุดทางหนึ่ง
นโยบาย “สามเส้า” ดังกล่าวนั้น จัดได้ว่าเป็น “เครื่องยนต์สามตัว” ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม การดำเนินตามนโยบายดังกล่าวนับได้ว่าเป็นการทำสงคราม หรือประกาศสงครามในหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “สงครามกับความยากจน” “สงครามกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง “สงครามกับยาเสพติด” “สงครามกับการก่อการร้าย” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สงครามกับกิเลส” ที่มีอยู่ในตัวเองด้วยการปฏิบัติตนตามแนวทางของศีล สมาธิ และปัญญา
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจแบบ “ไตรภาค” มีส่วนสำคัญในการจัดการความขัดแย้งไม่ให้เกิดขึ้นและลุกลามในหมู่ประชาชน ผลที่ตามมาก็จักเป็นประดุจถ้อยคำของพราหมณ์ปุโรหิตที่ว่า “พลเมืองเหล่านั้นจักขยันขันแข็งเอาใจใส่ในการงานของตัวเอง ไม่เบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน บ้านเมืองก็จะอยู่อย่างร่มเย็น ไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนจะชื่นชมยินดี และครอบครัวมีความสุข”
ดังนั้น เมื่อเสนอแนะวิธีปราบผู้ร้ายแบบถอนรากถอนโคนเช่นนี้แล้ว พระองค์ทรงมุ่งไปที่ปัญหาเศรษฐกิจและพยายามทำให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพมีความ เป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น แล้วปัญหาต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปโดยลำดับ ถ้าวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่พระองค์ทรงเสนอนั้น จริง ๆ แล้ว คือ กระบวนการแก้ปัญหาแบบอริยสัจ ๔ นั่นเอง ถ้าจัดตามลำดับขั้นตอนจะเห็นภาพที่แจ่มชัด ดังนี้
การมองปัญหาอย่างทะลุปุโปร่ง รวมถึงการหาสาเหตุที่แท้จริงตลอดจนการหาแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องของพระ พุทธองค์นี้จึงเป็นไปตามหลักการของอริยสัจจ์ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ศัตรูที่แท้จริงของพระองค์ สาเหตุของปัญหา ก็คือ “ความยากจน” ซึ่งเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้ประชาการมีความยากจน มีความลำบากในการทำมาหากิน เป็นเหตุให้เกิดการประพฤติอกุศลกรรมมีการลักขโมยเป็นต้นเกิดขึ้น จึงทรงแก้ปัญหาโดยใช้วิธีบูรณาการเข้ากับวิธีแบบเดิมของพราหมณ์คือ การคงไว้ซึ่งการบูชายัญโดยเอายัญเหล่านั้นไปให้ประชาชนที่เดือดร้อนแทนที่จะ เป็นเทพเจ้าเหมือนแต่ก่อน
ปัญหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้วนั้น นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะสามารถขยายผลก่อเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้อีกมากมายมีลักษณะเป็นลูกโซ่ที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน ปัญหาเหล่านั้นได้แก่ ปัญหาความมั่นคงทางสังคม การเมืองและการปกครอง
๕. ขั้นตอนของการพัฒนาตามแนวกูฏทันตสูตร
ในกูฏทันตสูตรนี้ นอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงเน้นหนักให้ผู้ปกครองบ้านเมืองหันมาใส่ใจต่อปัญหา เรื่องการกินการอยู่ของประประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาขั้นรากฐานของสังคมแล้ว ยังทรงแสดงลำดับขั้นของการพัฒนาที่สูงขั้นไปโดยลำดับ การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แม้จะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่ก็เป็นเพียงการพัฒนาทางด้านวัตถุเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ซึ่งจะต้องให้ความใส่ใจคือ การพัฒนาทางด้านจิตใจ เพราะชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยส่วน ๒ ส่วนคือ ร่างกายกับจิตใจ
ในองค์ประกอบดังกล่าว พระพุทธศาสนาถือว่าจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและสมควรได้รับการพัฒนาควบ คู่กันไปด้วย ถ้าไปมุ่งพัฒนาแต่ด้านวัตถุเพียงอย่างเดียวโดยมิได้ให้ความใส่ใจต่อคุณค่า ทางด้านจิตใจ สิ่งที่จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด คือ การพัฒนาที่ขาดดุลยภาพ เป็นการพัฒนาแบบแยกส่วน คือแยกกายออกจากใจ แต่มิได้พัฒนาแบบองค์รวม (Holistic) อันเป็นการพัฒนาควบคู่กันไประหว่างกายกับใจ เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นการยากที่จะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายตามที่ได้วางเอาไว้
ฉะนั้น ในพระสูตรนี้ หลังจากที่ได้นำเสนอมรรควิธีในการแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจแล้ว พระพุทธเจ้ายังได้นำเสนอการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นไปอีก โดยอาศัยการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจเป็นฐาน ถ้าจะวิเคราะห์ตามแนวที่พระองค์ทรงเสนอ อาจสงเคราะห์กับหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ ดังต่อไปนี้
ลำดับขั้นตอนของการพัฒนาตามแนวกูฏทันตสูตร จะเห็นได้ว่า พุทธศาสนาให้ความสนใจต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน แต่การพัฒนาทางเศรษฐกิจไม่ได้มีเป้าหมายสุดท้ายในตัวของมันเอง เศรษฐกิจไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในกระบวนการพัฒนาเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมาย (End) หากแต่เป็นเพียงวิถีทาง (Means) ที่ทำให้เดินไปสู่เป้าหมาย ถ้าจะจัดเข้าในหลักทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา ก็อยู่ในขั้นของอธิศีลสิกขาเท่านั้นเอง
๖. ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจเชิงพุทธตามนัยแห่งกูฏทันตสูตร
จากกรณีศึกษาในกูฏทันตสูตร เราจะเห็นการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในเชิงพุทธ ทั้งในมิติของหลักการ วิธีการ และข้อปฏิบัติตนของฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้มีความเจริญ ก้าวหน้า ตามยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนทั้ง ๕ ขั้นตอน โดยจัดตามลำดับความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ยุทธศาสตร์ขั้นที่ ๑ : แก้ปัญหาพื้นฐานที่ต้นเหตุคือความยากจน
เริ่มต้นด้วยการปราบผู้ร้ายแบบถอนรากถอนโคนโดยหลีกเลี่ยงวิธีเผชิญหน้าคือลง โทษผู้กระทำความผิด แต่ใช้วิธีแก้ไขทางอ้อมคือ หันไปแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาคือความยากจนที่มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ โดยการส่งเสริมให้ผู้ที่ขยันขันแข็งในอาชีพการงานได้มีกำลังใจและมีทุนในการ ประกอบการโดยใช้วิธีการ ๓ ประการ คือ (๑) ให้โอกาสแก่กลุ่มเกษตรกรซึ่งเป็นประชาชนในระดับรากหญ้าที่ถือว่าเป็นคนกลุ่ม ใหญ่ของประเทศ (๒) ให้ทุนแก่กลุ่มพ่อค้าเพื่อความหมุนเวียนและความลื่นไหลของระบบเศรษฐกิจ (๓) ดูแลรักษาผลประโยชน์และสวัสดิการของข้าราชการซึ่งถือเป็นตัวแทนของประเทศ และเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างฝ่ายบริหาร รัฐบาล และประชาชน
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด กล่าวคือเมื่อรัฐเข้าไปส่งเสริมกลุ่มบุคคลทั้ง ๓ กลุ่มที่มีความขยันทำมาหากินแล้ว กลุ่มเกษตรกร กลุ่มพ่อค้า และกลุ่มข้าราชการ ทำให้งบประมาณ และทรัพยากรของประเทศที่หมดไปจากการช่วยเหลือนั้นเกิดผลงอกงามไพบูลย์ขึ้น โดยสมบูรณ์ อนึ่ง ประชาชนทั้ง ๓ กลุ่มนี้นับได้ว่าเป็นเสมือนเครื่องยนต์สามตัวที่จะขับเคลื่อนอำนาจ และประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนดีมีกำลังใจในการขวนขวายประกอบอาชีพของตน เพื่อเป็นต้นแบบของคนดีที่มีคุณธรรม อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้ขยันประกอบอาชีพโดยช่วยสะท้อนภาพให้บุคคลในสังคม เห็นว่า ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐหากขยันทำมาหากิน ส่วนกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งมีความเกียจคร้านและกลุ่มที่เป็นโจรก็จะได้เลิกเป็น โจรหันมาทำมาหากินบ้างจากแรงจูงใจดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจในภาพรวมก็จะมีพัฒนาการไปในเชิงบวก พลเมืองเหล่านั้นขวนขวายในหน้าที่การงานของตน ไม่พากันเบียดเบียนบ้านเมือง ทำให้เกิดรายรับเพิ่มมากขึ้น เมื่อรายรับมากขึ้นก็มีเงินมาชำระภาษีกลับคืนให้แก่รัฐ ทำให้ในท้องพระคลังมีกองพระราชทรัพย์อย่างยิ่งใหญ่ สามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ยังลำบากได้อีกอย่างเป็นระบบที่ยั่งยืนบ้านเมืองอยู่ร่มเย็น ไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนต่างชื่นชมยินดีต่อกัน มีความสุขกับครอบครัว กล่าวโดยสรุปก็คือ “การแก้ปัญหาสังคมโดยกลับไปแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนได้ ก็จะแก้ปัญหาเรื่องการสูญเสียอำนาจได้” เป็นการเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ขั้นที่ ๒ : สร้างเครือข่ายบริหารประเทศ
สาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นกุศโลบายในการสร้างแนวร่วมในการบริหารประเทศ เนื่องจากกลุ่มบุคคล ๔ กลุ่ม คือ (๑) เจ้าผู้ครองเมืองที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต (๒) อำมาตย์ราชบริพารที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต (๓) พราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต และ (๔) คหบดีผู้มั่งคั่งที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต ถือว่าเป็นบุคคลระดับสูงที่มีอิทธิพลทางสังคมและด้านการเมือง ทั้งยังมีสติปัญญา ทรัพย์สิน และง่ายต่อการขยายเครือข่าย เพราะมีเครือข่ายที่ขยายคลอบคลุมอยู่ในสังคมในวงกว้าง ถือเป็นการวางหมากอย่างชาญฉลาด เพื่อความสำเร็จได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างระบบที่เป็นพันธมิตร (Alliance) เพื่อช่วยในการกระจายอำนาจไปสู่ระดับมหภาคอีกด้วย
จากหลักการสร้างเครือข่ายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าส่งผลให้กระบวนการในการพัฒนาเศรษฐกิจของพระเจ้ามหาวิชิตราช ดำเนินไปอย่างคล่องตัวไม่ติดขัดเนื่องจากมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยส่งเสริมและ สนับสนุนให้ความช่วยเหลือตลอดสาย เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ทรงพลัง พลังแห่งความดึงดูดของแม่เหล็กนั้นย่อมดึงดูดนำพาโลหะเหล็กประเภทเดียวกัน ให้มารวมตัวกันเป็นอนุภาคที่มีมวลรวมมากยิ่งขึ้น เป็นการเสริมสร้างเพิ่มพูนวัตถุประเภทเดียวกันให้เข้ามาอยู่ร่วมกัน ประกอบร่วมกันให้มีความเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นควรแก่การงานต่อไป ดังเช่นตัวอย่างของพระเจ้ามหาวิชิตราช ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มบุคคลทั้ง ๔ จนเกิด “พันธมิตร” แล้วการประกอบพิธีบูชามหายัญของพระองค์จึงสำเร็จลุล่วงอย่างดี กล่าวคือพันธมิตรเหล่านั้นนอกจากจะเห็นด้วยกับพระองค์แล้ว ยังนำทรัพย์สมบัติมากมายของพวกตนมาถวายด้วย แต่พระองค์ไม่ทรงรับ ด้วยเหตุผลที่ว่า พระราชทรัพย์ของพระองค์มาจากภาษีอากรที่ชอบธรรมของราษฎรนั่นเอง บุคคล ทั้ง ๔ พวกจึงได้นำทรัพย์ของตนเหล่านั้นยกขึ้นในทิศทั้ง ๔ ของหลุมยัญ แล้วแจกทานเหล่านั้นให้กับประชาชนเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป แนวทางเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ของตัวเองกลับคืนไปร่วมพัฒนาชุมชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในสังคม
ยุทธศาสตร์ขั้นที่ ๓ : สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ขั้นตอนต่อไปได้แก่การสร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่น (Trust) ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศด้วยการรับรองคุณสมบัติทั้ง ๘ ประการของพระเจ้ามหาวิชิตราชผู้เป็นเจ้าของพิธี ว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมที่สุด เหมาะสมที่สุดในการทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองประเทศและเป็นประธานในพิธีมหายัญ ที่ทำ นอกเหนือจากนั้น คุณสมบัติของผู้ประกอบพิธี ได้แก่ พราหมณ์ปุโรหิต ก็เป็นสิ่งที่ถูกนำมาพิจารณาประกอบด้วย กล่าวคือจะต้องมีคุณลักษณะถึง ๔ อย่างเท่านั้น ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของมหายัญ
จะเห็นว่า องค์ประกอบทั้ง ๑๖ ประการนี้ กล่าวคือ อนุมัติ ๔[๘] ประการ คุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตราช ๘[๙] ประการ และคุณสมบัติของพราหมณ์ปุโรหิต ๔[๑๐] ประการ เป็น องค์ประกอบสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองแก่พระ เจ้ามหาวิชิตราช โดยมีวัตถุประสงค์ ๔ ประการดังต่อไปนี้คือ
๑. เพื่อสร้างแนวร่วมและเครือข่ายในการบริหารประเทศ (Alliance)
๒. เพื่อสร้างความอาจหาญแกล้วกล้าให้กับพระราชาและสร้างความมั่นใจให้กับคณะผู้ ปกครองทั้งหลายในหลักการ ข้อปฏิบัติ และวิธีการว่าเป็นทางเดินที่ถูกต้องแล้ว สมควรยึดถือและนำไปปฏิบัติตามอย่างไม่มีความลังเลสงสัยอยู่ภายในใจ
๓. เพื่อสร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อฝ่ายบริหาร
๔. เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ใดครหานินทาในมหายัญที่ทำไปแล้ว ถือเป็นยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดีหรือไม่เห็นด้วยที่อาจก่อตัว ขึ้นและไม่ให้มีอำนาจขึ้นได้ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียในภายหลังได้
ยุทธศาสตร์ขั้นที่ ๔ : สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ปกครอง
เป็นยุทธศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของความมั่นใจให้กับผู้ปกครองประเทศให้มี ความเข้มแข็งแกล้วกล้าและเป็นตัวของตัวเองในสิ่งที่ตนกำลังปฏิบัติอยู่ว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรดีแล้ว ทั้งยังป้องกันความรู้สึกสงสัยไม่มั่นใจในแนวทางนั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลออกมาในด้านลบ หากผู้นำมีความอ่อนแอก็ไม่สามารถปกครองประชาชนคนทั้งประเทศได้
สาเหตุที่พราหมณ์ปุโรหิตแนะนำให้พระเจ้ามหาวิชิตราชปฏิบัติตามยัญพิธี ๓[๑๑] ประการก่อนการบูชายัญก็เนื่องจากเป็นกุศโลบายในการชำระจิตใจของผู้ประกอบ พิธีให้สะอาด สบายใจ ไม่เดือดร้อนกังวลใจในกองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่ต้องถูกใช้ไปกับพิธีนั้น ทำให้การบูชานั้นถึงความสมบูรณ์ ได้รับอรรถประโยชน์ครบถ้วนตามหลักของพระพุทธศาสนาดังในคัมภีร์ ปรมัตถโชติกา สุตตนิบาต อรรถกถาขุททกนิกายได้อธิบายไว้ว่าได้แก่ “ยัญญสัมปทา” หมายถึงความสมบูรณ์ของการบูชาครบ ๓ กาล คือ ๑) ก่อนให้ ก็มีใจดี ๒) ขณะให้ ก็ทำจิตให้ผ่องใส ๓) ครั้นให้แล้ว ก็ชื่นใจ[๑๒] หรือกล่าวอีกในนัยหนึ่งคือ เป็นกุศโลบายในการวางใจให้เป็นกลางกับการลงทุนในรูปแบบของการทำมหาทานให้กับ ประชาชนของพระองค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการในการพัฒนาเศรษฐกิจและการปกครองในระดับมหภาค อันจำต้องอาศัยเวลาและความอดทนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมได้ในท้าย ที่สุด
ยุทธศาสตร์ขั้นที่ ๕ : ส่งเสริมและสนับสนุนคนดี
การที่พราหมณ์ปุโรหิตทูลถวายคำแนะนำ ๑๐ อย่างก่อนที่พระเจ้ามหาวิชิตราชจะทรงทำพิธีบูชายัญนั้น มีวัตถุประสงค์อยู่ ๒ ประการด้วยกันได้แก่
๑. เพื่อปรับสภาพจิตใจของพระเจ้ามหาวิชิตราชให้สะอาดก่อนทำพิธีบูชายัญ กล่าวคือ ให้พระองค์ทรงเจริญอุเบกขาธรรม ไม่ให้เดือดร้อนพระทัย วางพระทัยของพระองค์ให้เป็นกลางไม่ยินดีหรือเกิดความทุกข์เมื่อเผชิญกับ ประชาชนพวกที่ประพฤติอกุศลกรรมบถ
๒. เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนดีได้มีโอกาสได้ทำความดี กล่าวคือให้พระองค์ทรงเจาะจงเลือกสนับสนุนเฉพาะพวกที่เว้นขาดจากการประพฤติ อกุศลกรรม ๑๐ ประการมีการฆ่าสัตว์ และลักทรัพย์เป็นต้น แล้วจึงทรงบูชา ทรงบริจาค ทรงอนุโมทนา และทรงทำพระทัยให้เลื่อมใส เนื่องจากในพิธีจะมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปนกัน มิเช่นนั้น พระทัยของพระเจ้ามหาวิชิตราชก็อาจจะหม่นหมองไม่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีแต่ประการใด
การดำเนินตามยุทธศาสตร์ทั้ง ๕ ประการนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสย้ำในประเด็นนี้เอาไว้อย่างสนใจว่า “ยัญพิธีที่พระเจ้ามหาวิชิตราชทำนั้นไม่มีการเบียดเบียนทำให้สัตว์ใด ๆ ต้องเดือดร้อนแม้แต่ตัวเดียว ไม่มีการฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร ฯลฯ ไม่มีการตัดต้นไม้เพื่อมาทำหลักบูชายัญ ไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคาเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น แม้ประชาชนผู้ที่เป็นทาส คนรับใช้ กรรมกรของพระเจ้ามหาวิชิตราชก็ไม่ถูกลงอาญา ไม่มีผู้เดือดร้อนเพราะไม่มีใครถูกบังคับให้มาร่วมพิธี ยัญพิธีนั้นสำเร็จลงเพียงเพราะเนยใส น้ำมัน เนยข้น นมเปรี้ยว น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเท่านั้น[๑๓]
จะเห็นว่า การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจเชิงพุทธตามนัยแห่งกูฏทันตสูตรดังที่กล่าวมาแล้ว นั้น เมื่อสรุปยุทธศาสตร์ทั้ง ๕ ขั้นเป็นแผนภูมิได้ดังนี้
๗. แนวทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยหลักประโยชน์สูง-ประหยัดสุด
หลักพุทธธรรมในฐานะเป็นเครื่องมือที่จะนำมนุษย์เข้าถึงความผาสุขทางกาย ไปสู่ความผาสุขทางใจ ที่สะท้อนแง่มุมทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์คือ หลัก “ประโยชน์สูง ประหยัดสุด" หรือ ลงทุนน้อย ได้กำไรหรือผลประโยชน์มากกว่า ได้แก่ หลักการของมหายัญแบบพุทธ ซึ่งพระพุทธองค์เป็นผู้เสนอทฤษฏีดังกล่าวนี้คือ โดยตรัสเป็นลำดับตั้งแต่ยัญที่ใช้ทุนทรัพย์และมีการตระเตรียมน้อยกว่า แต่มีผลานิสงส์มากกว่า เริ่มตั้งแต่นิตยทานไปจนถึงภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ ดังนี้คือ นิตยทานที่ทำสืบกันมาถวายเจาะจงบรรพชิตผู้มีศีล การสร้างวิหารอุทิศพระสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ การถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ การสมาทานศีล ๕ มีเจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้น การออกบวชเป็นภิกษุที่สมบูรณ์ด้วยศีล ศีล ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน น้อมจิตไปเพื่อ ญาณทัสสนะ สมาธิ ภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ ปัญญา และทรงตรัสสรุปว่า ภิกษุผู้บรรลุอรหันต์นั้นเป็นยัญที่เลิศที่สุดในพระพุทธศาสนา ไม่มียัญสมบัติอื่น ๆ ที่จะดียิ่งกว่าหรือประณีตกว่ายัญสมบัตินี้อีกแล้ว
เมื่อกล่าวโดยสรุป การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจเชิงพุทธตามนัยแห่งกูฏทันตสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงเลือกที่จะไม่หักหานวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่มีมานานแล้วนั่นคือการบูชายัญ แต่ทรงใช้วิธีการบูชายัญนั้น บูรณาการผสมผสานเข้ากับหลักพุทธธรรมแบบแนบแน่นทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทาง การบูชายัญแบบใหม่นั่นคือ การบูชายัญแบบพุทธเพื่อความยั่งยืนของอำนาจทางการเมืองโดยการแก้ปัญหาที่ต้น เหตุคือความยากจนของประชาชนทำให้เศรษฐกิจพัฒนาตัวขึ้น เป็นวิถีทาง (Means) เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนได้มีโอกาสบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา ให้ครบกระบวนการของหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ ยังผลให้เกิด “สังคมแห่งการตื่นรู้” ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่แท้จริง (End)
๘. บทสรุป
พระพุทธศาสนามองว่า เศรษฐกิจมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยปัจจัย หลายอย่าง ในการพิจารณาประกอบ เช่นแก้ไขที่ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การส่งเสริมให้บุคคลในสังคมได้มีคุณธรรมคือ จริยธรรมและศีลธรรมควบคู่กันไป ส่งผลให้เกิดพัฒนาการใน ๒ มิติคือภายนอกได้แก่สิ่งแวดล้อม และภายในได้แก่จิตใจ ดังที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้ว่า การสร้างความพรั่งพร้อมทางเศรษฐกิจจึงเป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องทำ แต่เราจะต้องให้ความเจริญก้าวหน้าพรั่งพร้อมทางเศรษฐกิจนั้นสัมพันธ์กับจุด หมาย โดยให้เป็นไปเพื่อจุดหมาย คือให้เกิดคุณภาพชีวิต ซึ่งทำให้มนุษย์พร้อมที่จะสร้างสรรค์หรือปฏิบัติเพื่อชีวิตที่ดีงามจึงเรียก ว่า เศรษฐศาสตร์และเศรษฐกิจเพื่อคุณภาพชีวิต[14]
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์โลกนี้ประกอบไปด้วยระบบต่าง ๆ ที่เปรียบเสมือนลูกโซ่หรือฟันเฟืองจำนวนมากที่เกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันอยู่ เมื่อระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นฟันเฟืองตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในสถานะที่เป็นปรกติ หรือดีประชาชนไม่ยากจนไม่มีความลำบากในการทำมาหากินแล้ว ก็จะส่งผลต่อฟันเฟืองตัวอื่น ๆ ได้แก่ ระบบสังคม คือคนในสังคม ประชาชนในประเทศก็จะมีคุณภาพ การเมืองและการปกครองก็ราบรื่นไม่สะดุดติดขัด และในท้ายที่สุดความสันติสุขก็จะเกิดขึ้นกับสังคม ๆ นั้น
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงยกเรื่องพระเจ้ามหาวิชิตราชขึ้นมาแสดงเป็นตัวอย่างเพื่อให้ พราหมณ์นำไปปฏิบัติในการทำพิธีบูชายัญ ในพระสูตรนี้พระพุทธองค์ทรงต้องการที่จะชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของการแก้ ปัญหาเท่าที่ปฏิบัติสืบ ๆ มา เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสังคมมักจะมองออกไปนอกตัวจนเกินไป เช่น มองไปที่อำนาจเหนือธรรมชาติเป็นผู้ทำให้เกิดปัญหาในสังคม เป็นต้น เมื่อมองปัญหาพลาดก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาพลาดเช่นเดียวกัน แทนที่จะกลับมามองที่สังคมว่ามีปัญหาอะไร อะไรเป็นสาเหตุของปัญหาแล้วจะดำเนินไปสู่การแก้ไขอย่างไร กลับเบนความสนใจไปสู่สิ่งที่อยู่นอกเหนือสังคม เลยเป็นที่มาของการแก้ปัญหาด้วยการทำพิธีบวงสรวงเอาใจเทพเจ้า สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินไปโดยเปล่าประโยชน์
เมื่อได้ชี้ให้เห็นถึงการแก้ปัญหาและวิธีมองปัญหาที่ไม่ถูกจุดแล้ว พระพุทธองค์ทรงพยายามที่จะประยุกต์การแก้ปัญหาสังคมด้วยพิธีบูชาเทพเจ้าแบบ ใหม่ด้วย กล่าวคือ ผู้รับเครื่องบูชายัญแทนที่จะเป็นเทพเจ้าเหมือนแต่ก่อน ก็ให้นำเอาเครื่องบูชายัญเหล่านั้นไปให้ประชาชนที่เดือดร้อนแทน คือให้การสนับสนุนส่งเสริมอาชีพของประชาชน เพราะผู้ประสบปัญหาคือประชาชนไม่ใช่เทพเจ้า เมื่อประชาชนมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ผู้สมควรได้รับการแก้ปัญหาก็น่าจะเป็นประชาชน นอกจากนั้นในการมองปัญหาสังคม พระองค์ทรงมองปัญหาแบบองค์อันเป็นการเชื่อมโยงแนวความคิดทั้งหมดเข้าด้วย กัน มิได้มองแบบแยกส่วน กล่าวคือ ปัญหาโจรกรรม และอาชญากรรมที่ปรากฏอยู่นั้น ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ถ้ามัวไปแก้ปัญหาโจรกรรมหรืออาชญากรรมโดยไม่สนใจปัญหาที่รากฐานจริง ๆ ก็นับเป็นเรื่องที่ยากต่อการดำเนินการแก้ไขให้สำเร็จ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เศรษฐศาสตร์การเมืองตามนัยแห่งกูฎทันตสูตร ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเน้นให้เห็นถึงการปราบปรามผู้อย่างเด็ดขาด ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจ โดยมองเห็นว่า เมื่อทุกคนอยู่ดีมีความสุขทางด้านร่างกายในระดับหนึ่งแล้ว เรื่องการลักเล็กขโมยน้อย โจรผู้ร้ายก็จะค่อย ๆ หมดไปจากสังคม สังคมก็จะบังเกิดความสันติสุขอย่างแท้จริงหากดำเนินนโยบายเชิงรุกด้วยหลัก ยุทธศาสตร์ ๖ ประการ
หลักการและแนวทางสำคัญประการหนึ่งในกูฏทันตสูตรคือ การแบ่งปันและกระจายทรัพยากรให้ครอบคลุมถึงกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมมากที่สุด กล่าวคือ ให้กลุ่มคนต่างๆ ทั้งภาคเกษตรกรรม นักธุรกิจ และกลุ่มคนชั้นปกครอง สามารถเข้าถึงแหล่งทุน และทรัพยากรอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติ เช่น ดิน และน้ำ ทรัพยากรทางสังคม เช่น โอกาสทางการศึกษา ความปลอดภัยทางด้านชีวิต และทรัพย์สิน ทรัพยากรทางด้านเศรษฐกิจ เช่น โอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน การตลาด และแรงงานที่เป็นธรรม
การที่กลุ่มคนต่างๆ ไม่สามารถเข้าถึงโอกาส และได้รับการแบ่่งปันผลประโยชน์และความต้องการด้านทรัพยากรอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรมดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ในแข็งขัน และแย่งชิงอำนาจที่ว่าด้วยการปกครองรัฐ เพราะหลายกลุ่มเชื่อว่า รัฐเป็นที่มาของ "อำนาจทางการบริหาร" ซึ่งอำนาจการบริหารอาจจะเป็นที่มาของอำนาจอื่นๆ เ่ช่น อำนาจทางการทหาร อำนาจทางการปกครอง อำนาจทางสังคม อำนาจทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางกฎหมายที่จะนำไปสู่การร่างและตรากฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ หรือแสวงหาประโยชน์เพื่อกลุ่มการเมืองของตน
เมื่อสถานการณ์ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ ย่อมเป็นการยากที่จะทำให้กลุ่มคนต่างๆ ในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ เพราะกลุ่มต่างๆ จะพยายามที่จะแสวงหาโอกาสที่เข้าถึงอำนาจในลักษณะดังกล่าว และในหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เมื่อวิเคราะห์ตามทฤษฏีของมาเคียวารี นักรัฐศาสตร์ชื่อดังผู้เขียนหนังสือเรื่อง "เจ้าผู้ครองนครแห่งรัฐ" (The Prince) จะพบว่า หากเป้าหมายคือการได้มาซึ่งอำนาจทางการเืมือง และสังคมแล้ว กลุ่มการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ จะดำเนินการทุกวิถีทาง โดยไม่สนใจ และใส่ใจวิธีการว่าจะรุนแรง นำไปสู่การสูญเสียและขาดความชอบธรรมมากเพียงใด
เศรษฐศาสตร์การเมืองตามแนวทางของพระเจ้ามหาวิชิตราชจึงเป็น "วิถีกำมะหยี่" ที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมของกลุ่มคนต่างๆ "ยืดหยุ่น" และนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์และความต้องการอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น การกระจายอำนาจต่างๆ ออกไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นทั้งในเมือง และนอกเมือง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเมืองการปกครอง อำนาจทางการบริหาร อำนาจทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการตลาด อาจจะทำให้การแย่งชิงอำนาจที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น การแข่งขัน แย่งชิงที่นำไปสู่ความรุนแรงจะเป็นไปแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากรัฐภายใต้การบริหารของพระเจ้ามหาวิชิตราช
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย
ข้อมูลปฐมภูมิ
สํยุตฺตนิกาเย สคาถวคฺคปาลิ . มหาจุฬาเตปิฏกํ มหาจุฬาลงฺกรณราชวิทฺยาลฺเยน ปกาสิตา อนุสฺสรณียํ พุทธวสฺเส ๒๕๐๐.
ข้อมูลทุติยภูมิ
ขุททกนิกาย ธรรมบท .พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ . เล่มที่ ๒๕ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
ทีฆนิกาย มหาวรรค . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ . เล่มที่ ๑๐ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ . เล่มที่ ๑๑ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค . พระไตรปิฏก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. เล่มที่ ๙ . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๓๙.
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค . พระไตรปิฏก ฉบับสังคายนา เล่มที่ ๑๕ . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา , ๒๕๓๐.
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ . เล่มที่ ๒๐ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
สังยุตตนิกาย สุตตนิบาต . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ , เล่มที่ ๒๐ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ , เล่มที่ ๒๓ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ , เล่มที่ ๒๓ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ . เล่มที่ ๒๑. กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต . พระไตรปิฏก ฉบับหลวง ๒๕๑๔ . เล่มที่ ๒๐ . กรุงเทพมหานคร : กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ , ๒๕๑๔.
คัมภีร์อรรถกถา
พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๖ , พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย , ๒๕๒๙.
๒. หนังสือ
ชัยประกาศ นารยัณ. จากสังคมนิยมสู่สรรโวทัย. แปลโดย รสนา โตสิตระกูล. กรุงเทพมหานคร: บริษัท เคล็ดไทย จำกัด, ๒๕๒๓.
ชูเมกเกอร์ อี.เอฟ. งานกับชีวิต. แปลโดย พระประชา ปสนฺนธมโม. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๒๔.
ฟริตจ๊อฟ คาปร้า. จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ. แปลโดย พระประชา ปสนนฺจิตโต พระไพศาล วิสาโล สันติสุข โสภณสิริ รสนา โตสิตระกูล. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๓๙.
สุรพล เพชรลา. เศรษฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๒๖.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
______________________. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จำกัด, ๒๕๕๑.
______________________. เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ Buddhist Economics. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร : มปพ, ๒๕๔๘.
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา . ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช , ๒๕๑๙.
ดำรง มัธยมนันท์. เศรษฐศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา , ๒๕๐๕.
ฟริตจ๊อฟ คาปร้า. จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ . แปลโดย พระประชา ปสนนจิตโต พระไพศาล วิสาโล สันติสุข โสภณสิริ และรสนา โตสิตระกูล . พิมพ์ครั้งที่ ๓ . ๓ เล่ม . กรุงเทพมหานคร : เรือนแก้วการพิมพ์ , ๒๕๓๙.
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส. พุทธสันติวิธี: การบูรณาการหลักการและเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง. กรุงเทพมหานคร: ๒๑ เซ็นจูรี่, ๒๕๕๔
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) . พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๒๘.
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต) . พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม . กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๓๒.
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต). เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธโกมลคีมทอง , ๒๕๓๑.
ทวี หมื่นนิกร. เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๔.
ราชบัณฑิตยสถาน . พจนานุกรมภาษาไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติ . พิมพ์ครั้งที่ ๓ . กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช , ๒๕๓๐.
สุชีพ ปุญญานุภาพ . สารัตถแห่งศาสนธรรม . พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
สุรพล เพชรลา. เศรษฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๒๖.
๓. บทความ
ชูมักเกอร์ อี. เอฟ. “เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ.” พุทธศาสนา ๖๕ (สิงหาคม-พฤศจิกายน ๒๕๔๐) : ๘๙-๙๖.
วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน. “เศรษฐศาสตร์คืออะไร.” ใน เศรษฐศาสตร์ไม่ยากอย่างที่คิด, หน้า ๑๕-๑๙. วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน . กรุงเทพมหานคร : นำอักษรการพิมพ์ , ๒๕๓๘.
ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวัฒน์ . “พุทธเศรษฐศาสตร์.” พุทธศาสน์ศึกษา ๕ (พฤษภาคม-ธันวาคม ๒๕๔๑) : ๕๘-๖๗.
๔. ภาษาอังกฤษ
Grolier Incoration ed , The Encyclopedia Americana and Dictionaries international edition , Usa :1996.
Jonathan Crowther (Editor) , Oxford Advanced Learner’s Dictionary . Fifth edition . Oxford University press , 1995.
Samuel P. Huntington, The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order. New York : Simon & Schuster, 1996.
Smith , Adam . Aa InQuiry into the Nature and Causes of the Wealth of nations . Edited by Edwin Cannan . London : University Paperbacks , 1950.
๕. สื่ออิเล็กทรอนิคส์
http://gotoknow.org/blog/buddhist-conflict-management/324798?page=1
http://gotoknow.org/blog/buddhist-conflict-management/324798?page=1
http://th.wikipedia.org/wiki/ธรรมาภิบาล
[๑] ดูเพิ่มเติมใน Samuel P. Huntington, The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order, (New York : Simon & Schuster, 1996).
[๒] พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, พุทธสันติวิธี: การบูรณาการหลักการและเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง, (กรุงเทพมหานคร: ๒๑ เซ็นจูรี่, ๒๕๕๔), น. ๔.
[๓] ดูเพิ่มเติมใน ทวี หมื่นนิกร, เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๔.
[๔] ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์, อัตลักษณ์(Identity)เศรษฐศาสตร์การเมืองไทย, ใน http://www.wiszanu.com/index.php?option=com_content&task=view&id=๗๗&Itemid=๕๕ เข้าถึงเมื่อ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔.
[๕] ดูเพิ่มเติมใน สุชีพ ปุญญานุภาพ, องค์ประกอบที่ทำให้สมบูรณ์, ธรรมจักษุ ฉบับ ๘๔ ปีที่ ๘๔ ฉบับที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐.
[๖] อดิศักดิ์ ทองบุญ, วิเคราะห์มหายัญในกูฏทันตสูตร ใน http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=๒๑๒&articlegroup_id=๖๐ เข้าถึงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔.
[๗] ที.สี. (บาลี) ๙/๓๒๓-๓๕๘/๑๒๗-๑๕๐, ที.สี. (ไทย) ๙/๓๒๓-๓๕๘/๑๒๔-๑๕๐.
[๘] ๑. เจ้าผู้ครองเมืองที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต
๒. อำมาตย์ราชบริพารที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต
๓. พราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต
๔. คหบดีผู้มั่งคั่งที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนข้อทั่วพระราชอาณาเขต
[๙] ๑. ทรงมีพระชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายพระชนกและฝ่ายพระชนนี ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
๒. ทรงมีพระรูปงดงามน่าดูน่าเลื่อมใส มีพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ดุจพรหม มีพระวรกายดุจพรหม โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก
๓. ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร เต็มท้องพระคลัง
๔. ทรงมีกองทหารที่เข้มแข็ง ประกอบด้วยกองทัพ ๔ เหล่าคือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า อยู่ใน ระเบียบวินัย คอยรับพระบัญชา มีพระบรมเดชานุภาพดังจะเผาผลาญข้าศึกได้ด้วยพระราชอิสริยยศ
๕. ทรงมีพระราชศรัทธา ทรงเป็นทายก[๙] ทรงเป็นทานบดี[๙] มิได้ทรงปิดประตู ไม่ทรงตระหนี่ แต่ยินดีต้อนรับคนอนาถาตลอดเวลา ทรงเป็นดุจโรงทานของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอยู่เนือง ๆ
๖. ทรงรู้เรื่องราวที่ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมานั้น ๆ ไว้มาก
๗. ทรงทราบความหมายแห่งภาษิตที่ได้ทรงศึกษานั้นว่านี้คือจุดมุ่งหมายแห่งภาษิตนี้ๆ
๘. ทรงเป็นบัณฑิตมีพระปรีชาสามารถดำริเรื่องราวในอดีต อนาคตและปัจจุบันได้
[๑๐] ๑. เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะ อ้างถึงชาติตระกูล
๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวข้อและไวยากรณ์ ชำนาญโลกายตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ
๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ
๔. เป็นบัณฑิตมีปัญญาเฉียบแหลมลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้รับการบูชา
[๑๑] ๑. เมื่อพระองค์ปรารถนาจะทรงบูชามหายัญก็ไม่ควรทำความเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเราจักสิ้นเปลือง
๒. เมื่อพระองค์กำลังทรงบูชามหายัญอยู่ก็ไม่ควรทำความเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเรากำลังสิ้นเปลืองไป
๓. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญแล้วก็ไม่ควรทำความเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเราได้สิ้นเปลืองไปแล้ว
[๑๒] ขุ.สุ.อ. (บาลี) ๒/๕๑๒/๒๔๑.
[๑๓] ที.สี. (ไทย) ๙/๓๔๕/๑๔๔.
[14] พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics), พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : มปพ., ๒๕๔๘), หน้า ๕๙-๖๐.