ข่าวมหาวิทยาลัย |
ยุวชนสันติภาพ - เดลินิวส์อินไซด์แคมปัส | ||
วันที่ ๑๐/๐๖/๒๐๑๓ | เข้าชม : ๓๐๓๘ ครั้ง | |
หลังจากที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ได้เปิดตัวหลักสูตรสันติศึกษา ในการผลิตวิศวกรทางด้านสันติวิธีไปแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ มจร. ได้ผนึกกำลังกับหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทีเคปาร์ค จัดโครงการ “ค่ายยุวชนอาเซียนเพื่อสันติภาพ” ขึ้น เพื่อต่อยอดหลักสูตรดังกล่าว โดยเชิญชวนเยาวชนจาก 10 ประเทศอาเซียน และอีก 3 ประเทศภาคี คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หรือเรียกว่า อาเซียน+3 มาเข้าค่ายอยู่ร่วมกันเพื่อเรียนรู้วิถีของสันติวิธี ในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แล้ววิธีการสร้างสันติวิธีเป็นอย่างไร พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มจร. ในฐานะผู้ริเริ่มความคิดการจัดค่าย เล่าให้ฟังว่า จากการที่ มจร. ได้จัดทำหลักสูตรสันติศึกษาในการสร้างนักสันติศึกษาขึ้นนั้น เพื่อให้หลักสูตรดังกล่าว เกิดผลในทางปฏิบัติและเกิดประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ มจร. จึงได้จัดทำโครงการ ยุวชนอาเซียนเพื่อสันติภาพ โดยนำเด็กและเยาวชนจากชาติต่าง ๆ มาเรียนรู้การปฏิบัติจริง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ความสามัคคี ด้วยการฝึกทำนาปลูกข้าวร่วมกัน พร้อมทั้งยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ร่วมชมการแสดงต่าง ๆ และที่สำคัญเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ยังได้เดินทางไปศึกษาตามแหล่งโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของไทย เช่น อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น พระมหาหรรษา เล่าอีกว่า เยาวชน ยังได้เรียนรู้วิถีการอยู่ร่วมกัน เปิดใจเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม โดยมีมิติของภาษาและศาสนาเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลต่อเด็กและเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ กลายเป็นคนที่เปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ดูถูกผู้อื่น เรียนรู้วิธีคิดของเพื่อน ๆ และรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข “หลังจากจบค่ายไปแล้ว เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้ลงนามความร่วมมือนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาสังคมและเผยแพร่ความรู้สู่เพื่อนในประเทศ พร้อมสร้างกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชื่อมโยงกับเพื่อนแต่ละประเทศที่มาเข้าค่าย ผ่านเฟซบุ๊กกลุ่มอาเซียนศึกษาเพื่อสันติภาพ ที่สำคัญจะมีการเยี่ยมเยียนเยาวชนเหล่านี้ และติดตามผลการทำงานด้วย” ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าว น้อง คิมรองเว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยพันนาศรัทธา กัมพูชา (Pannasastra University of Cambodia) บอกว่า การมาเข้าค่ายทำให้ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของเพื่อนอาเซียน ได้เรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่สำคัญยังได้เรียนรู้การทำนา เกี่ยวข้าว ซึ่งเป็นวิถีของคนอาเซียน และได้มาเห็นประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีห้างสรรพสินค้า มีรถไฟฟ้า ที่น่าชื่นชมมากที่สุดคือประเทศไทยมีในหลวงที่ทรงเป็นแบบอย่างส่งเสริมให้คนไทยรู้จักความพอเพียง และเห็นความสำคัญของการเกษตร เป็นที่น่าชื่นชม ขณะที่พระสงฆ์ ของที่นี่มีการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะหลักการทำสมาธิ ที่มีการเดินจงกรม มีนอนสมาธิ ซึ่งตนจะนำความรู้ไปใช้ในชีวิต “ถึงแม้ที่ผ่านมาไทยกับกัมพูชาจะมีปัญหาเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งไม่ว่าคำตอบจากศาลโลกจะออกมาเป็นอย่างไรก็อยากให้คนทั้งสองชาติกลับมารักกันเหมือนเดิม ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาคมอาเซียนเกิดความเข้มแข็ง” คิมรองเว กล่าวฝาก ในขณะที่ เซบาสเตียน วัง เจิน เซิน นักศึกษาจากสถาบันอาชีวะแห่งชาติสิงคโปร์ มองว่า การมาเข้าค่ายทำให้ได้เห็นวิถีของคนไทยที่ไม่เน้นการแข่งขัน เจอมิตรภาพที่แท้จริง การแบ่งปัน ซึ่งต่างจากสังคมของสิงคโปร์ที่เน้นการแข่งขันสูง คบหาสมาคมกันเพื่อธุรกิจ ไม่ได้เน้นถึงความรู้สึกความจริงใจต่อกัน ถึงแม้ว่าบางประเทศจะพัฒนาในเรื่องของวัตถุมาก แต่การพัฒนาจิตใจหรือเรียกว่าความสุขกลับมีน้อย ซึ่งการเข้าค่ายครั้งนี้ได้สอนให้ตนรู้จักแบ่งปัน ได้ฝึกปฏิบัติธรรม ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำ ซึ่งจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นความงดงามของแต่ละประเทศ ไม่ใช่ดูถูกกันว่าใครด้อยกว่าใคร มิตรภาพเหล่านี้ยังจะอยู่ในหัวใจน้อง ๆ ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายยุวชนอาเซียนศึกษาเพื่อสันติภาพ จะเป็นกลไกเล็ก ๆ ที่คอยช่วยขับเคลื่อนสังคมสร้างคนรุ่นใหม่รู้วิธีสร้างสันติวิธี ซึ่งน้องในกลุ่มอาเซียน+3 จะกลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงวิสาขบูชา ปี 2557. เดลินิวส์ (วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๖) |
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||