ข่าวมหาวิทยาลัย |
"ประเวศ"ชม"มจร"นำพุทธธรรมถกแก้ขัดแย้ง | ||
วันที่ ๒๐/๑๐/๒๐๑๗ | เข้าชม : ๕๑๖ ครั้ง | |
"ประเวศ"ชม"มจร"นำพุทธธรรมถกแก้ขัดแย้ง เชื่อหลักอปริหานิยธรรมสามารถสร้างสังคมเข้มแข็งพัฒนาสู่พรรคการเมืองแนวพุทธสร้างปรองดองได้แน่
"ประเวศ"ชม"มจร"นำพุทธธรรมถกแก้ขัดแย้ง
"ประเวศ"ชม"มจร"นำพุทธธรรมถกแก้ขัดแย้ง
เชื่อหลักอปริหานิยธรรมสามารถสร้างสังคมเข้มแข็งพัฒนาสู่พรรคการเมืองแนวพุทธสร้างปรองดองได้แน่ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2560 ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประเวศ วะสี พลเมืองอาวุโศ ได้ปาฐกถาเรื่อง "ธรรมาธิปไตยกับการพัฒนาระบบการเมืองไทย " จัดโดยคณะสังคมศาสตร์ มจร ความว่า ขอชื่นชมคณะสังคมศาสตร์ มจร ที่นำเรื่องพุทธธรรมมาพูดคุย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะพุทธธรรมเป็นภูมิปัญญาสูงสุด ซึ่งเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ทำไมประเทศไทยไม่เอาแนวคิดพระพุทธเจ้ามาใช้แบบจริงจัง กลับนำเอาแนวคิดตะวันตกมีความแจ่มแจ้งไม่สู้แนวคิดพระพุทธเจ้ามาวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทยปัจจุบัน ซึ่งสังคมปัจจุบันกับสังคมโบราณมีความแตกต่างกันสังคมปัจจุบันมีการพยากรณ์ยากมาก
เช่น การใช้อำนาจในอดีตกับปัจจุบัน แม้แต่ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างไม่ได้ ทำไมคนอเมริกาจึงเลือกคนอย่างนายดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี ปัจจุบันเรามีวิกฤตทางอารยธรรมตะวันตก มีวิกฤตเศรษฐกิจ 99% ของเงินที่เคลื่อนไหวในโลก และมีวิกฤตสังคม สังคมมีความเหลื่อมล้ำ 99 ต่อ 1 มีความขัดแย้ง ความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม และวิกฤตสิ่งแวดล้อม เช่น โลกร้อน วิกฤตทั้งหมดรวมเรียกว่า "วิกฤตในการอยู่ร่วมกัน"ปัจจุบันหลายประเทศไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางสังคม บางประเทศมีประชาธิปไตยทางการเมืองแต่ขาดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ คือ การเมืองมั่งคงแต่เศรษฐกิจแย่
คำว่า ธรรมาธิปไตย สามารถแยกออกได้ คือ ธรรม ท่านพุทธทาสแบ่งออก 4 ประการคือ 1 ) ธรรมชาติ คือ ความจริงตามธรรมชาติ 2) กฎขอลธรรมชาติ คือ ความเป็นเหตุเป็นผล 3) การปฏิบัติตมมกฏของธรรมชาติ 4 ) การได้ผลจากการปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ ข้อที่ 1-2 เป็นปริยัติ ข้อ 3 เป็นปฏิบัติ ข้อที่ 4 เป็นปฎิเวธ ซึ่งระบบที่ดีที่สุด คือ ระบบของธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ มีความหลากหลายและซับซ้อนมากแต่มีบูรณภาพและดุลยภาพนำไปสู่ปรกติภาพ ทำให้สุขภาพดีอายุยืน เป็นไปตามธรรมชาติ ส่งผลการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและสมดุล เพราะหลักการของระบบร่างกาย มีความเป็นอัตโนมัติของทุกส่วน เหมือนการปกครองที่รวมอำนาจจะนำไปสู่ความขัดแย้ง การใช้อำนาจต้องมีการกระจายจึงจะไม่ขัดแย้งและรุนแรง ซึ่งเซลล์ทุกเซลล์มีสำนึกแห่งองค์รวม ร่างกายมีระบบข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารที่รู้ถึงกันทั้งหมด ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งระบบภูมิคุ้มทางสังคม คือ ความเป็นธรรม ถ้าสังคมใดขาดความเป็นธรรมคนจะไม่รักกัน ถ้าขาดระบบภูมิคุ้มกันจะเกิดความขัดแย้ง
เรามีกลไกทางอำนาจมากมาย แต่เราขาดสมองมีน้อยเกินไป อะไรเราควรทำมิควรทำ เราต้องสร้างคนให้เป็นสมองของประเทศ " กลไกทางอำนาจมีมาก แต่กลไกทางสมองมีน้อย " กลไกทางสมองต้องพัฒนา ทำไมผู้นำจึงต้องมีที่ปรึกษาที่มีสมอง ทำไมเล่าปี่จึงไปหาขงเบ้งถึงสามครั้งจึงชนะ นั่นคือ กลไลทางสมอง กระบวนการคิดจึงมีความสำคัญมาก ตะวันตกกับพุทธมีแนวคิดต่างกัน ตะวันตก เช่น การคิดแยกส่วน ตายตัว เป็นขาว เป็นดำ เป็นบวกเป็นลบ คิดไม่เหมือนฉันคุณก็เป็นศัตรู อย่าลืมว่า " ความยากจนเป็นความรุนแรงที่น่ากลัวที่รุนแรง " ส่วนทางพุทธมีกระบวนการคิด คือ " กระแสเหตุปัจจัยสู่ความเป็นทั้งหมด " มีการเชื่อมโยงกัน พึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน ตะวันตก "มีเสรีภาพส่วนบุคคล" เช่น การมีเสรีภาพในการดูถูกศาสนาอื่น จึงเกิดความขัดแย้ง ทำไมเราไม่เคารพในสิ่งที่คนอื่นเคารพ ส่วนทางพุทธมีเสรีภาพจากความครอบงำของโลภะ โทสะ โมหะ ถือว่าเป็นเสรีภาพขององค์รวม ทำให้เรารักคนอื่นมากขึ้นเพราะเรามีเสรีภาพจากโลภ โกรธ หลง ทางรอดจากจากวิกฤตอารยธรรม คือ การปฏิวัติจิตสำนึกเช่น พระพุทธเจ้าเปลี่ยนจิตสำนึกองคุลิมาล เสรีภาพส่วนรวมและส่วนตนจะต้องบูรณการ ตะวันตก " มีการแข่งขันเสรี " แต่ทางพุทธ คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลด้วยไมตรีจิต เรามีการแผ่เมตตา
พระราชปริยัติกวี ศ.ดร. รองอธิการฝ่ายวิชาการ มหาจุฬา กล่าวว่า เรามีความคิดว่าการเมืองกับพุทธธรรมเป็นคนละส่วนกัน ซึ่งจริงๆ ต้องไปด้วยกันไม่แยกส่วน บ้านเมืองเรามีคนเก่งเยอะคนดีก็เยอะ เราต้องจัดการบริหารบ้านเมืองในแนวทางพระพุทธศาสนาอย่างไร
ศ.ดร. บุญทัน ดอกไธสง อดีตรองประธานวุฒิสภา กล่าวว่า พระพุทธเจ้ามองว่าธรรมาธิปไตยเท่านั้นจะทำเกิดความสุข เพราะเป็นการบูรณาการหลักธรรมในการปกครอง ธรรมาธิปไตยจึงเป็นการใช้ปัญญาอันสูงสุดในการแก้ปัญหาเพื่อการอยู่ร่วมกัน ที่ปราศจากความรุนแรงความขัดแย้ง
ศ.ดร.สมภาร พรมทา นักวิชาการศาสนาปรัชญา กล่าวว่า เวลาเราพูดถึงพระพุทธศาสนากับการเมือง เราจะมีวิธีการเอาพระพุทธศาสนามาใช้กับการเมือง มีแนวทาง คือ เราจะทำให้พระพุทธศาสนามาบูรณาการกับการเมืองอย่างไร? ในมหาวิทยาลัยระดับโลกเวลาเขาจะวัดมหาวิทยาลัยนั้นว่าดีไหม เขาวัดว่า มีอาจารย์สอนปรัชญาการเมืองดีไหม ? มีการมองแบบนั้น เราจะนำปรัชญาการเมืองไปบูรณาการอย่างไร ปรัชญาการเมืองไม่มีจุดประสงค์สร้างคนดี แต่ต้องการสร้างพลเมืองดี
............ (หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Pramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา)
ที่มา :http://www.banmuang.co.th/news/education/93877
ขอขอบคุณ : ภาพ/ข่าว จากเว็บไซต์ข่าว บ้านเมือง
|
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||