![]() |
สมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด หลักสูตรปริญญาโท สันติศึกษา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วันที่ ๒๒/๑๒/๒๐๑๒ | เข้าชม : ๑๒๖๕๒ ครั้ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โครงการปริญญาโท สาขาวิชาสันติศึกษา (ภาคพิเศษ) รุ่นที่ ๑ *********************************
สังคมโลกในยุคปัจจุบันเป็นสังคมแบบ “พหุนิยม” (Pluralism) ที่ธรรมชาติได้ออกแบบให้โลกมีความหลากหลาย และแตกต่างทั้งชาติพันธุ์ ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา และภาษา ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถที่จะปฏิเสธ หรือหลีกหนีธรรมชาติดังกล่าวได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างและหลากหลายอย่างมีสติ บนฐานของความอดทน และเปิดใจกว้างเพื่อที่จะเรียนรู้ เข้าใจ และอยู่ร่วมกับความแตกต่างและหลากหลายได้อย่างมีความสุขสงบเย็น และเป็นสันติสุข การที่จะเข้าถึง เข้าใจ ยอมรับ และมีท่าทีในเชิงบวกต่อความแตกต่าง และหลากหลายได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มต้นพัฒนาจิตใจให้รู้ ตื่น และเบิกบาน ปราศจากอคติ เอาใจเขามาใส่ใจเรา รัก และสงสารเพื่อนร่วมโลกตามหลักการที่ว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน” ความเป็นพี่เป็นน้องไม่ได้มีนัยที่จำกัดวงเฉพาะในกลุ่มมนุษย์เท่านั้น หากแต่รวมไปถึงธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่อยู่รายรอบมนุษย์ การเข้าใจกฎของความสัมพันธ์ที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” นั้น ทำให้มนุษย์จำเป็นต้อง “รักคนอื่นและสิ่งอื่น” ด้วยเช่นกัน เพราะในความเป็นจริง มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกนี้ได้ ดังนั้น การที่มนุษย์รักคนอื่น หรือสิ่งอื่น จึงมีค่าเท่ากับมนุษย์รักตนเอง เพราะเมื่อมนุษย์ไม่เบียดเบียนคนอื่น หรือธรรมชาติสิ่งแวดล้อม คนอื่น และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมก็จะทำหน้าที่ในการโอบอุ้มมนุษย์ให้สามารถอยู่รวมกันได้อย่างประสานสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว จากเหตุผลดังกล่าวนั้น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยการสนับสนุนจากสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศาลยุติธรรม จึงได้พัฒนาหลักสูตร “สันติศึกษา” ขึ้นมา เพื่อร่วมเสริมสร้างและพัฒนาสันติภาพภายในบุคคลต่างๆ ให้สามารถสัมผัสพลังสันติภาพที่ซ่อนตัวอยู่ภายในใจของแต่ละคนเพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ว่า “ไม่มีความสุขอื่นใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าความสงบสุข” การเข้าใจความจริงดังกล่าว จะทำให้แต่ละคนเห็นอกเห็นใจกัน สามารถมองดูใบหน้าและดวงตาของกันและกันประดุจแม่มองดวงตาของบุตร ด้วยความรัก และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุข และความทุกข์โดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา และเมื่อเกิดความขัดแย้ง และความรุนแรงเกี่ยวกับผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ ค่านิยม และโครงสร้างขึ้นมาครั้งใด กลุ่มคนต่างๆ จะสามารถมองความขัดแย้งในเชิงบวก โดยการร่วมสร้างและพัฒนาทางเลือกในการประยุกต์ใช้เครื่องมือจัดการความขัดแย้งและความรุนแรงโดยสันติวิธีได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และสอดรับกับสถานการณ์และความเป็นไปของโลกและชีวิต ๒. จุดเด่นของหลักสูตรสันติศึกษา ๒.๑ หลักสูตรนี้ เน้นบูรณาการพัฒนาสันติภาพแบบผสมผสานทั้งภายในและภายนอก โดยเริ่มต้นพัฒนาผู้เรียนรู้ให้เกิดสันติภาพขึ้นภายในใจ โดยการใช้หลักสมาธิมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนากล่อมเกลาสติ และปัญญาให้เกิดความแข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถทนต่อกระแสของอคติ มีใจกว้าง อดทนและยอมรับต่อความแตกต่างอย่างมีสติมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น ผู้เรียนรู้จะสามารถประยุกต์ใช้หลักการและเครื่องมือสร้างสันติภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ๒.๒ คณาจารย์และอาจารย์พิเศษที่หลักสูตรจะเชิญมาบรรยายนั้น ประกอบด้วยนักวิชาการ และนักปฏิบัติการด้านสันติภาพที่มีชื่อเสียง และทำงานด้านสันติภาพมาทั้งประสบการณ์ตรง และการทำวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากสถาบันที่ทำงานด้านสันติภาพ เช่น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สถาบันพระปกเกล้า ศาล ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศูนย์ศึกษาสันติภาพ และความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒.๓ สำนักงานศาลยุติธรรม และสถาบันพระปกเกล้า จะเข้าไปช่วยพัฒนานักสันติภาพ และนักประนีประนอมภายใต้บันทึกการลงนามความร่วมมือระหว่าง ๓ สถาบัน โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะเป็นแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนานักสันติภาพเพื่อสนองตอบต่อพันธกิจของศาลในการช่วยพัฒนานักประนีประนอมให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ในการนี้ หลักสูตรจะเชิญผู้พากษาหรือผู้ประนีประนอมมาร่วมพัฒนาผู้เรียนโดยการเข้าไปให้การศึกษาและฝึกภาคปฏิบัติการประนีประนอมในศาลต่างๆ และร่วมศึกษาและดูงานกับหลักสูตรการจัดการความขัดแย้งของสถาบันพระปกเกล้า เมื่อผ่านหลักสูตร ผู้เรียนจะสามารถได้รับวุฒิบัตรจากสถาบันทั้ง ๓ แห่ง กล่าวคือ ปริญญาบัตร วุฒิบัตรหลักสูตรการจัดการความขัดแย้ง และวุฒิบัตรหลักสูตรการประนีประนอมข้อพิพาทประจำศาล ๓. วัตถุประสงค์ของหลักสูตร ๓.๑ เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดสันติภาพภายในใจ มีสติรู้เท่าทันอคติ ยอมรับ และอดทนต่อแตกต่างและความหลากหลาย มีจิตใจที่เปิดกว้าง ยึดมั่นในวัฒนธรรมสันติวิธี และอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีความสุข บนฐานของการเคารพ และให้เกียรติ ๓.๒ เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจความขัดแย้ง และการจัดการความขัดแย้งในมติที่หลากหลาย รวมถึงการเรียนรู้แนวคิด ทฤษฎี และเครื่องมือในการจัดการความขัดแย้งของสันติวิธีซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญต่อนำไปประยุกต์ใช้จัดการความขัดแย้งในเชิงปัจเจกและสังคม ๓.๓ เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถนำเครื่องมือการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีไปสู่การปฏิบัติ ทดสอบและทดลองในสถานการณ์จริงอันจะทำให้ผู้เรียนมีความรู้และเชี่ยวชาญในการจัดการความขัดแย้งในมิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ๓.๔ เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถศึกษา วิเคราะห์ และวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ และเผยแพร่หลักการ เครื่องมือ และวิธีการเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีทั้งในระดับประเทศ ประชาคมอาเซียน และระดับนานาชาติ
๔. คุณสมบัติของผู้สมัคร ๔.๑ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาจากมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชนในต่างประเทศหรือในประเทศที่ได้รับรองจากสำนักงาน กพ. หรือสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ๔.๒ มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) พระภิกษุ แม่ชี นักบวช หรือนักพรต ๑) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒) สมาชิกวุฒิสภา ๓) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น (๓) ข้าราชการและพนักงานองค์กรภาครัฐ ๑) ข้าราชการพลเรือน / ข้าราชการพลเรือนสามัญ /ข้าราชการรัฐสภา/ ข้าราชการศาลยุติธรรม / ผู้ประนีประนอมประจำศาล ฯลฯ ๒) ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรพัฒนาเอกชน หรือผู้นำชุมชน หรือ ผู้นำท้องถิ่น ๓) นักวิชาการ/อาจารย์มหาวิทยาลัย (๔) ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน ๑) ผู้ประกอบกิจการ หรือ ผู้บริหารของกิจการภาคเอกชน หรือผู้แทนสหภาพแรงงาน หรือแรงงานสัมพันธ์ หรือฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร ๒) ผู้บริหารองค์กรพัฒนาเอกชน ๓) ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ ๔) สื่อมวลชน
๕.จำนวนผู้เข้ารับการศึกษา พิจารณารับนักศึกษา จำนวน ๔๐ รูป/คน
๖. การคัดเลือก ๖.๑ คณะกรรมการพิจารณาจากใบสมัคร โดยคัดเลือกจากคุณสมบัติต่างๆ เช่น สาขาที่สำเร็จการศึกษา ผลการศึกษาระดับปริญญาตรี อายุ ประสบการณ์ในการทำงาน ลักษณะงานที่ทำ และโอกาสในการนำความรู้ไปใช้ในอนาคต ๖.๒ คณะกรรมการทำการสัมภาษณ์เพื่อประเมินบุคลิกภาพ ทัศนคติ ความสามารถในการวิเคราะห์เหตุการณ์ ทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษและความพร้อมในการศึกษา ๗. ระบบการศึกษา ระบบการศึกษาแบ่งเป็นภาคการศึกษา ภาคละ ๓ วิชา ภาคฤดูร้อน ภาคละ ๑ วิชา โดยเรียน ครั้งละ ๑ วิชา ๆ ละ ๖ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๘ ชั่วโมง รวม ๔๘ ชั่วโมง ต่อ ๑ วิชา ต่อเนื่องกันจนจบหลักสูตร โดยจะเรียนในวันเสาร์เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.
๘. ระยะเวลาการศึกษา รวมระยะเวลาที่ศึกษาในสถาบัน ๑๕ รายวิชา (ทั้งวิชาหลักและวิชาเสริม) และสอบประมวลความรู้ ประมาณ ๒ ปี
๙. สถานที่จัดการศึกษา อาคารเรียนรวม ชั้น ๔ โซน D มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
๑๐. ผู้เชี่ยวชาญในหลักสูตร
๑๑.องค์กรความร่วมมือที่ร่วมลงนาม (MOU) สถาบันพระปกเกล้า และ สำนักงานศาลยุติธรรม ๑๒.รายละเอียดกลุ่มวิชา กลุ่มวิชาที่ ๑ แนวคิด และทฤษฏี ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการความขัดแย้ง ความรุนแรง แนวคิด ทฤษฏีสันติภาพ พัฒนาการของความขัดแย้งและความรุนแรงในโลกสมัยใหม่ พระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ และพุทธสันติวิธี กลุ่มวิชาที่ ๒ ปฏิบัติการสร้างสันติภาพ การฝึกปฏิบัติ ทั้งการสร้างสันติภาพภายในให้ใจสงบนิ่งปราศจากอคติ และปฏิบัติการสร้างและรักษาสันติภาพภายนอกโดยกระบวนการไกล่เกลี่ยคนกลางอย่างมีสติ และใช้กระบวนการสันติสนทนาด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในลักษณะต่างๆ กลุ่มวิชาที่ ๓ ต้นแบบของนักสร้างสันติภาพทั่วโลก/หลักการและเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ และรักษาสันติภาพ การศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทของผู้นำทางการเมืองและนักการศาสนาต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ บทบาทขององค์กรสันติภาพทั่วโลก ขันติธรรมทางศาสนา การสื่อสารเพื่อสร้างสันติภาพ และกระบวนการทางกฎหมายเพื่อสร้างสันติภาพ
๑๓. ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตรจำนวน ๑๔๕,๐๐๐ บาท (สำหรับคฤหัสถ์) และ ๑๒๐,๐๐๐ บาท (สำหรับนักบวช) โดยแบ่งชำระเป็น ๔ งวด รวมค่าอาหารว่าง ค่าศึกษาดูงานในประเทศ และหนังสือพุทธสันติวิธีซึ่งเป็นหลักในการศึกษาในสาขาวิชาสันติศึกษา ๑๔. หลักฐานการสมัคร ๑๓.๑ สำเนาปริญญาบัตร หรือวุฒิการศึกษาเทียบเท่า ๑ ชุด ๑๓.๒ เอกสารแสดงผลการศึกษา (Transcript) ๑ ชุด (ฉบับสมบูรณ์) ๑๓.๓ รูปถ่าย ๑ นิ้ว จำนวน ๒ รูป ๑๓.๔ หนังสือรับรองตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน (ตามแบบฟอร์มหลักสูตร) ๑๓.๕ เอกสารรับรองการได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงาน (ถ้ามี) ๑๓.๖ ค่าธรรมเนียมการสมัคร ๕๐๐ บาท ๑๕. สถานที่รับสมัครและยื่นใบสมัคร ขอรับใบสมัครได้ตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้ ๑๕.๑ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ ในวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา ๑๐.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. (เว้นวันพระ) ๑๕.๑ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักงานใหญ่ ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. (เว้นวันพระ) ๑๕.๓ สำนักงานวิทยาเขต ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๑๖. กำหนดการรับสมัคร
ติดต่อสอบถามได้ที่
โครงการปริญญาโท สาขาวิชาสันติศึกษา
รายละเอียดของโครงการเปิดหลักสูตรสันติศึกษา
มองโนเบลเห็นมหาจุฬาฯ: นกตะวันตกคาบช่อมะกอก นกตะวันออกคาบดอกบัว รางวัลโนเบลเป็นความตั้งใจก่อนเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) นักเคมีชาวสวีเดน ผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์ ซึ่งรู้สึกเสียใจจากการที่ระเบิดของเขาถูกนำไปใช้ในการคร่าชีวิตมนุษย์ และนั่น จึงเป็นที่มาของแรงบันดานใจสำคัญในการมอบ ๙๔% ของทรัพย์สินมาให้เป็นเงินทุนในรางวัลโนเบล ๕ สาขา ซึ่งหนึ่งในสาขาเหล่านั้น คือ "สาขาสันติภาพ" จะเห็นว่า หลายครั้งที่การสูญเสียได้กลายตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์เห็นคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และสิ่งที่อัลเฟรดเห็น คือ "สันติภาพ" ในขณะที่ปีนี้ "สหภาพยุโรป" ได้รับการประกาศยกย่องให้รับรางวัล "โนเบลสาขาสันติภาพ" โดยคณะกรรมการตัดสินให้เหตุผลว่า แม้ปัจจุบันสหภาพยุโรปกำลังประสบภาวะยากลำบากด้านเศรษฐกิจภายใน รวมถึงปัญหาความไม่สงบด้านสังคม แต่สิ่งที่โดดเด่นอย่างยิ่งคือ บทบาทในการส่งเสริมสันติภาพและความปรองดอง รวมถึงการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยความมีเสถียรภาพของการรวมตัวเป็นสหภาพยุโรปได้ช่วยแปรเปลี่ยนยุโรปจากภูมิภาคที่เต็มไปด้วยสงคราม เป็นภูมิภาคแห่งสันติภาพ และในขณะที่ปีนี้ มหาจุฬาฯ โครงการหลักสูตรสันติศึกษา ได้เพียรพยายามที่จะนำลมหายใจของสันติภาพของ "พระพุทธเจ้า" ที่ผ่านการซึมซับ ศึกษา และ เรียนรู้ อีกทั้งประสบการณ์ของนักคิด และนักปฏิบัติการทั้งไทย และต่างประเทศมานำเสนอภายใต้กรอบ "พุทธสันติวิธี" เพื่อเปิดพื้นที่ให้ให้มนุษยชาติที่เผชิญหน้ากับความสูญเสียอันเนื่องมาจากความขัดแย้งและความรุนแรงในมิติต่างๆ ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปัน "ลมหายใจแห่งสันติภาพ" อันจะนำไปสู่การปลุก และฟื้นฟูพลังแห่งสันติภาพที่เลือนหายไปให้กลับมามีชีวิตชีวา และเบ่งบานงอกงามในโลกนี้ต่อไปตราบนานเท่านาน
มหาจุฬาฯ เห็นอะไร!!!! จึงนำมามุ่งมั่นและพยายามผลักดันให้เกิดหลักสูตรสันติศึกษา เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน โลก และสังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรง กลุ่มคน และองค์กรมากมากมายในสังคมไทย และสังคมโลกเพียรพยายามที่จะแสวงหาหลักการและเครื่องมือเพื่อไขไปสู่กระบวนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อความสันติสุข มหาจุฬาฯ ถือเป็นหนึ่งในองค์กรเหล่านั้นที่ตระหนักรู้ถึงบทบาทและท่าทีของการขับเคลื่อนด้วยการหมุนกงล้อแห่งสันติภาพ การถอดบทเรียนทั้งหลักการ อุดมการณ์ วิธีการและเครื่องมือสำหรับสร้างสันติภาพในพระพุทธศาสนาไปสู่การบูรณาการกับเครื่องมือใหม่ๆ จนกลายเป็น "พุทธสันติวิธี" จึงเป็นภารกิจสำคัญที่มหาจุฬาฯ ภายใต้โครงการหลักสูตรสันติศึกษากำลังมุ่งมั่นที่จะดำเนินการ เพื่อเป็นทางเลือกของสังคมในการที่จะ "ร่วมสร้างสรรค์จรรโลงสันติภาพให้งอกเลย และผลิดดอกออกผลเจริญงอกงามบนโลกใบนี้" โดยการฝึกฝนและพัฒนานักสันติวิธีไปร่วมสร้างสันติภาพในพื้นที่ต่างๆ สอดรับกับปฐมบรมพุทธปณิธานที่ว่า "เธอทั้งหลาย จงเที่ยวไป เพื่อเกื้อกูน เพื่ออนุเคราะห์ เพื่อความสุข แก่ชาวโลก" "นกสันติภาพตะวันตกคาบช่อมะกอก นกสันติภาพตะวันออกคาบดอกบัว" ช่อมะกอกเป็ญสัญลักษณ์ของสันติภาพสากลที่สะท้อนภาพลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความสงบ ความสามัคคีของชาวกรีกโบราณ ที่แสดงตัวผ่านกีฬาโอลิมปิคและองค์การสหประชาชาติ อีกทั้งองค์กรการสันติภาพต่างๆ ได้นำไปเป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ และความสามัคคีของมนุษยชาติทั่วไป ในขณะที่โครงการสันติศึกษา มหาจุฬาฯ พยายามจะสื่อให้เห็นถึงแง่มุมในการสร้างทางเลือกการสร้างสันติภาพในโลกตะวันออก โดยการนำ "ดอกบัว" มาเป็นสัญลักษณ์ เพราะดอกบัวคือสัญลักษณ์ของการ "รู้ ตื่น และเบิกบาน" เพราะบ่งบอกถึงสภาพของใจที่เปี่ยมล้นด้วยพลังของสันติภาพ ไม่ตกเป็นทาสของความโกรธ เกลียด เคียดแค้น และชิงชังเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
|
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||
![]() ![]() |