บทความวิชาการ
พระราชดำรัสในหลวง ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘
28 ก.พ. 58 | พระพุทธศาสนา
8927

ผู้แต่ง :: จากหนังสือพิมพืไทยรัฐ

จากหนังสือพิมพืไทยรัฐ (2548)

เนื่องในวโรกาส มหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2548 ซึ่งในปีนี้ทรงเจริญ พระชนมายุครบ 78 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ ได้แก่ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะองค์กร ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน จำนวน 633 คณะ รวมทั้งสิ้น 21,859 คน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ในวานนี้ (4 ธ.ค.) เวลา 16.07 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ พระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ ยังศาลาดุสิดาลัย ท่ามกลางข้าราชการและพสกนิกรทุกหมู่เหล่ารอรับเสด็จฯ

เมื่อเสด็จขึ้นศาลาดุสิดาลัย ประทับพระราชอาสน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนประชาชนชาวไทย กล่าวถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรุปความได้ว่า นับเป็นความรู้สึกปีติยินดีเป็นล้นพ้นที่คนไทย มีต่อพระปรีชาสามารถขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยตลอดระยะเวลาแห่งรัชสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงภารกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้า ทั้งด้านความเป็นอยู่ การทำมาหากิน การศึกษา ทรงอนุเคราะห์ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ไม่ว่าประสบภัยแล้ง น้ำท่วม พระราชทานแนวทางการสร้างฝาย การจัดระบบชลประทาน ตั้งแต่ แก้มลิง จนถึงอ่างเก็บน้ำและเขื่อน ทรงห่วงใยเยาวชนของชาติ นับจากเรื่องการใช้ภาษาไทย การออกกำลังกาย ปัญหาอบายมุข มลพิษทางเสียง บุหรี่ จนกระทั่งถึงยาเสพติด ทรงอนุเคราะห์ผู้ป่วยวัณโรค โรคเรื้อน โรคเอดส์ นอกจากนั้น พระมหากรุณาไปจนถึงสัตว์เลี้ยงที่เจ็บป่วย พิการ ยามใดที่ประเทศชาติมีปัญหา ได้พระราชทานพระราชทรัพย์และปัญญาแก่ผู้เกี่ยวข้องอยู่เสมอ รวมถึงในยามที่ประเทศประสบปัญหาเรื่องพลังงาน ยังพระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องพลังงานทดแทน โดยทรงทดลองและทรงนำมาตรการประหยัดพลังงานมาใช้ด้วยพระองค์เอง

ในด้านการพัฒนาวิถีชีวิต ได้พระราชทานหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่ทรงขอให้คนไทยมีคุณธรรม 4 ประการทรงเน้นการอดทน อดกลั้น และอดออม เมื่อสังคมเริ่มมีความแปลกแยกแตกต่างกัน ได้ทรงเตือนให้ฟังการติติง และพึงโต้เถียงกันก็แต่เรื่องที่เป็นสาระ ตลอดจนถึงการรู้รักสามัคคี ยามที่สังคมเริ่มขาดความเอื้ออาทร ได้รับสั่งขอให้คนไทยมีไมตรีจิตต่อกัน และเมื่อสังคมท้อแท้ เพราะถดถอยทางเศรษฐกิจ ได้พระราชทานหลักชัยแห่งชีวิตว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นทางสายกลางนำมาใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ยังไม่นับงานศิลปะ ที่พระราชทานอีกอเนกอนันต์ ทั้งบทเพลงอันไพเราะ บทพระราชนิพนธ์อันงดงามด้วยคติธรรม และรสแห่งภาษา ภาพวาด ภาพถ่าย และงานปั้นฝีพระหัตถ์นับไม่ถ้วน ทรงรักษาศีลบำเพ็ญภาวนา และปฏิบัติสมาธิ แผ่พระราชกุศลไปยังพสกนิกรถ้วนหน้า ด้วยมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พระเมตตาคุณอันไพศาล และพระปัญญาคุณอันกว้างไกล ล้วนแต่บริสุทธิ์ ประเสริฐทั้งพระกาย พระวาจา และพระราชหฤทัย ด้วยไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ดังที่ทรงสอนให้ปิดทองหลังพระ และให้ความสำคัญกับการทำตามหน้าที่ด้วยความถูกต้องเป็นธรรม ยิ่งกว่าการอ้างอำนาจ ได้ตรัสอยู่เสมอดุจที่สมเด็จพระบรมราชชนนีเคยตรัสว่า ถ้าทำดี คิดดี พูดดี แล้วจะดีเอง นอกจากนั้นไม่ทรงท้อถอย คอยหวังแต่ผลสำเร็จจากการงานใด ดังที่ทรงสอนให้ชาวไทยมีความฝันอันสูงสุด และมีความเพียรอันบริสุทธิ์ จึงควรที่พสกนิกรทุกคนจะก้าวเดินตามรอยพระยุคลบาท

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนหนึ่งว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ทรงปฏิบัติตามกฎหมายและจารีตของบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด แต่ด้วยพระราชหฤทัยที่เที่ยงธรรม โดยไม่เคยทรงอ้างถึงพระราชอำนาจใดๆ ให้เป็นที่ขามเกรง หนทางหนึ่งที่ชาวไทยน่าจะสนองพระมหากรุณาธิคุณ ได้อย่างดีในยามนี้ คือการสมัครสมานสามัคคี คิดดี พูดดี ทำดี ช่วยกันสร้างความสงบร่มเย็นและสันติสุข ด้วยทางสายกลางแก่ชาติบ้านเมือง เพื่อให้การแปรพระราชฐานไปประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวลหัวหิน เป็นการไกลจากความกังวลในพระราชหฤทัยอย่างแท้จริง และเป็นการแสดงออกถึงสัจวาจา นอกเหนือจากการสวมใส่สายรัดข้อมือว่า เรารักพระเจ้าอยู่หัว

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี พระราชดำรัสตอบว่า ขอขอบใจนายกรัฐมนตรีที่ได้กล่าวอวยพรในโอกาสที่จะถึงวันเกิดในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเข้าใจว่าจะทำให้ทุกคนในที่นี้และนอกที่นี้มีกำลังใจ ว่า นายกฯ พูดดี ก็ไม่ทราบว่า ที่ชมนายกฯ มาพูดนี้อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย ที่มาพูดนี้เป็นความเดือดร้อนกับตัวเอง เพราะว่าถ้าชมนายกฯ คนอื่นอาจจะไม่ชม ไม่ชมข้าพเจ้า ว่าชมนายกฯ ทำไม แต่นายกฯมีอยู่ไว้สำหรับให้ชม ถ้ามีนายกฯ แล้วไม่ชม นายกฯก็ไม่ค่อยพอใจ แล้วถ้านายกฯไม่พอใจ งานการจะไปได้อย่างไร ถึงต้องชมนายกฯว่า พูดดี เพราะท่านมาชมเรา เป็นของธรรมดาที่ทุกคนชอบให้เขาชม เขาไม่ชอบให้ติ ข้าพเจ้าเองก็ได้ติคนอยู่เรื่อยๆ เขาก็ไม่พอใจกัน แม้จะไม่ติคน บางทีคนเขาไปประกาศในหนังสือพิมพ์ว่าพระเจ้าอยู่หัวติคนโน้นคนนี้ แท้จริงไม่ได้เคยติใครเท่าไหร่ บอกว่าเท่าไหร่เพราะว่าถ้าจะติแต่ไม่ได้พูดออกมาโจ่งแจ้ง ว่าติ คนเราถ้าอยู่ในที่แจ้งในที่ที่คนเห็นมากๆ ย่อมถูกติได้ง่ายๆ เพราะว่าคนเห็นมาก ถ้าเห็นมากแล้ว เราทำอะไรไม่มีดี หรือมีที่ไม่ดีมาก แต่ถ้าสมมติว่ามีดีมาก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีไม่ดีบ้าง แล้วคนเขาติ ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ดี มีการแสดงตนว่า รู้ว่าไม่ดีนั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกแล้ว บางทีก็รู้สึกชื่นชม บางทีก็รู้สึกเคือง ถ้าผู้ที่ถูกเล็ง รู้สึกว่าถูกติเตียนแล้วก็แสดงตัวว่า เข้าใจว่าถูกแล้ว เขาติเตียนเรา แล้วเรารู้เราไม่พอใจ ก็เสียหาย ทำให้ส่วนรวมทั้งหมดเกิดปั่นป่วน พูดแค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าพูดมากกว่าจะทำให้เกิดเรื่องยุ่ง

แต่ว่าวันนี้ตั้งใจจะพูดอะไรที่ไม่พาดพิงใครเลย ไม่ติเตียนใครเลย เพราะว่าการติเตียนใครพาดพิงใคร ก็เกิดเคือง เกิดไม่สบายใจ แต่ที่เห็นอยู่ข้างหน้านี่ มีคนที่พูด คงรู้ว่าใครพูด มีคนที่พูดว่า ข้าพเจ้าไม่ดี คือพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี ทำอะไรผิด แต่เขาต้องแสดงออกมาว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ผิด ผิดไม่ได้ ซึ่งเป็นตามความจริงในระบอบประชาธิปไตย ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระเจ้าอยู่หัวผิดไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น เดอะ คิง แคน ดู โน รอง (The King can do no wrong) เหมือนท่าน ท่านองคมนตรีชอบพูดว่า ต้องอ่านภาษาอังกฤษ แต่ว่าเวลาบอกว่า เดอะ คิง แคน ดู โน รอง (The King can do no wrong) ก็เป็นสิ่งที่รอง (wrong) แล้ว ที่ผิดแล้วไม่ควรจะพูดอย่างนั้น ความจริงเวลาอ่านตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษมีตำราที่คนเขาอ้างอยู่เสมอ แล้วคนที่เรียนภาษาอังกฤษ เรียนกฎหมายอังกฤษก็ต้องอ้างถึง เสมอ เรื่อง เดอะ คิง แคน ดู โน รอง (The King can do no wrong) นี้ แล้วนักกฎหมายแถวนี้เขาพยักหน้าว่าใช่ความจริง เดอะ คิง แคน ดู โน รอง (The King can do no wrong) นี้เป็นการดูถูก เดอะ คิงอย่างมาก เพราะว่า เดอะ คิง ทำไมจะดู โน รอง (do no wrong) ไม่ได้ ดู รอง (do wrong) ไม่ได้ เพราะว่าแสดงให้เห็นว่าเค้าถือว่าเดอะ คิง ไม่ใช่คน แต่ว่า เดอะ คิง ทำ รอง (wrong) ได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด ข้าพเจ้าเป็น เดอะ คิง และก็เขาบอกว่า ดู โน รอง ดาส โน รอง (Do no wrong does no wrong) เราก็เห็นด้วยกับเขา เพราะว่าการทำอะไรถ้าคนเราถือว่าต้องมีสติ หมายความว่ารู้ว่ากำลังทำอะไร รู้กำลังคิดอะไร แล้วไม่ปล่อยให้ผิดออกมา มันก็ไม่มีผิด ผิดไม่ได้ อันนี้เป็นการพูดว่า ข้าพเจ้าเองไม่ผิด ไม่มีวันผิด ถ้าสมมติว่าพูดผิดเพราะไม่รู้ ก็ยัง แต่ว่าผิดโดยไม่รู้ว่าผิด การทำผิดโดยรู้ ไม่ดี แต่บางทีไม่รู้เพราะว่าไม่มีสติ ขาดสติ คือไม่ระวังตัวที่หลังก็เสียใจ

เมื่อก่อนนี้ก่อนที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก่อนที่จะเป็นคิง (King) ก็เสียใจหลายครั้ง แต่ตอนที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเป็น คิง (King) แบบไทยๆ ซึ่งฝรั่งเขาบอกว่าเป็น เดอะ คิง (The King) เข้าใจว่า น้อยครั้งที่จะได้ทำผิด เพราะว่าระวัง ถ้าไม่ระวังป่านนี้คงตายแล้ว ระมัดระวัง ต้องระวัง ถ้าไม่ระวังก็ตาย นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่เรียกว่าการเมือง หรือการที่อยู่ในสายตาของคน สายตาของคนนี่ มันฆ่าได้ ถ้าเราไม่ระวัง เราตาย ถึงบอกได้ว่า ทำไมการที่บอก เดอะ คิง แคน ดู โน รอง (The King can do no wrong) เพราะต้อง ดูโน รอง (do no wrong) ถ้าทำรอง (wrong) ตาย ทุกคนมีสถานะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า เดอะ คิง (The King) เก่ง แต่ทุกคนมีส่วนที่เก่ง เพราะมีตำแหน่ง รับตำแหน่งที่สูง ได้รับเหรียญตรา แล้วคนชี้ว่าคนนี้สูงมาก มียศศักดิ์ เดอะ คิง (The King) เป็นยศศักดิ์สูง แต่คนที่อยู่ในที่นี้ ยศศักดิ์ทั้งนั้น ไม่ระวังตัวก็ตายเหมือนกัน ถ้าไม่ระวัง เขาต้องตายแน่ถ้าไม่ระวัง ทุกคนตั้งแต่แถวแรกจนถึงแถวสุดท้าย จนถึงหลังแถว จนถึงข้างนอก ทุกคนถ้าไม่ระวังก็มีอันตราย พูดอย่างนี้แปลกๆหน่อย จะหาว่าแช่ง แต่ที่จริงไม่แช่ง สงสาร เพราะว่าถ้าไม่ระวังเมืองไทยตาย ฉะนั้นก็ต้องขอร้องอย่างเดียวว่า มาวันนี้ให้ระมัดระวัง ที่คิดที่พูดที่ทำ ถ้านึกว่าทำถูกต้องก็ทำ

เรื่องที่เขาบอกในหนังสือพิมพ์ ในวิทยุ ในโทรทัศน์ บอกว่า ที่เดอะ คิง (The King) ทำอะไรเขาไม่วิจารณ์ แล้วเขาบอกอย่าวิจารณ์ ที่จริงอยากให้วิจารณ์ เพราะเราทำอะไรก็ต้องรู้ว่าเขาเห็นดีหรือไม่ดี ถ้าไม่พูดก็หาว่าทำดีแล้ว แต่แท้จริงที่พูดที่ออกข่าวให้สัมภาษณ์ บอกว่าอย่าไปวิจารณ์ เดอะ คิง (The King) ตอนนี้ต้องบอกว่า อย่าไปวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว ไม่ควร ในรัฐธรรมนูญก็มีอยู่ว่าละเมิดมิได้ นักกฎหมายก็พยักหน้าอีกแล้วว่าถูกต้องมาก ว่าไม่ควรจะวิจารณ์ วิจารณ์ไม่ได้ ละเมิดไม่ได้ แต่ว่าถ้าพูดว่าพระเจ้าอยู่หัวทำถูก พูดถูก ไม่ใช่ละเมิด เป็นการถ้าพูดภาษาอังกฤษว่า แอฟพรู๊ฟ (Approve) พระเจ้าอยู่หัวเห็นชอบด้วย แต่ไม่เคยมีใครมาบอกว่าเห็นชอบว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดดี พูดถูก แต่ว่าความจริงจะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครมาวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้นตรงนั้น จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกว่าไม่วิจารณ์ แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไง ถ้าเขาบอกว่าไม่วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนอยู่ในสมองว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดชอบกล พูดประหลาดๆ ขอเปิดเผยว่า วิจารณ์ตัวเองได้ว่าบางทีก็อาจจะผิด แต่ให้รู้ว่าผิด ถ้าเขาบอก ว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด ก็ขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน ฉะนั้น ที่บอกว่า การวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิดให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขา ละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบอมบ์ คือเป็นเรื่องของ ขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร แต่ถ้าเขาวิจารณ์ถูก ก็ไม่ว่า แต่ถ้า วิจารณ์ผิดไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ลงท้ายพระมหากษัตริย์เลยลำบากแย่ อยู่ในฐานะลำบาก เพราะแสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ให้ วิจารณ์ หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ไม่ต้องวิจารณ์ต้องละเมิดแล้ว ไม่ให้ละเมิดพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกันก็ 1. ไม่กล้า 2. ไม่เอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด แต่มีการให้ชาวต่างประเทศ มีบ่อยๆ ละเมิดพระเจ้าอยู่หัว ละเมิด เดอะ คิง (The king) แล้วเขาก็หัวเราะเยาะว่า เดอะ คิง (The king) ของไทยแลนด์ เดอะ คิง (The king) ของยู ของคนไทยทั้งหลาย เป็นคนแย่ ละเมิดไม่ได้ ในที่สุดถ้าละเมิดไม่ได้ก็เป็นคนที่เสีย

ฉะนั้นบางโอกาสขอให้ละเมิด จะได้รู้กันว่าใครดีใครไม่ดี นี่พูดเลยเถิดพูดมากไปแต่ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ต้องกลัว เพราะไม่ได้มีความผิด คนที่นึกว่ามีความผิดพยักหน้าว่ามีความผิดจริงๆ ข้อนี้เขาไม่มีความผิด คนที่มาก่อน มีความผิด แล้วตัวคนที่พยักหน้านี้ไม่ได้ แก้ไข มีผิดตรงนี้ ไม่ได้แก้ไข หลบความรับผิดชอบ คือในเมืองไทยนี้ คนไหนที่ทำอะไรไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยก็ลาออก ลาออกแล้วไม่มีอะไรผิดเลยแม้จะทำอะไรผิดอย่างมากๆ ถ้าเป็นข้าราชการก็เรียกเข้ากระทรวง เข้ากรุงเทพฯ แล้วก็หมดเรื่อง นานๆที มีเข้ากรุ พูดอย่างนี้ชักจะหนักใจ เขาว่าเรียกเข้ากรุงเทพฯ หรือว่าเข้าคุก แต่มีที่เกิดเรื่องเข้าคุก แต่อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้วถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศบอกว่าเมืองไทยนี่พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้ เข้าคุก เดือดร้อนกับพระมหากษัตริย์ต้องบอกว่า เข้าคุกแล้วต้องให้อภัย ทั้งที่เขาด่าเราอย่างหนัก ฝรั่งเขาบอกว่าในเมืองไทยพระมหากษัตริย์ถูกด่าเข้าคุก ที่จริงควรจะเข้าคุก แต่ว่าเพราะฝรั่งบอกอย่างนั้นก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนที่จั๊กจี้ จั๊กจี้ใคร มันบอกว่าอะไรสักนิด ก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงแล้วพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก

ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆเป็นกบฏก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ 6 ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษพวกที่เป็นกบฏ มาจนกระทั่งถึงต่อมารัชกาลที่ 9 ใครเป็นกบฏ ซึ่งก็ไม่เคยมี หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าคุกก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อน ผู้ที่ถูกด่าเป็นคนที่เดือดร้อน อย่างคนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์แล้วถูกทำโทษ ไม่ใช่คนนั้นเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นี่ก็แปลก นักกฎหมายเขาชอบ ให้เขาฟ้องให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายเขาสอน สอนนายกฯบอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ขอสอนนายกฯว่าใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน แต่ พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะไม่อยากให้พระมหากษัตริย์ เดือดร้อน ไม่รู้ด้วยนะเขาทำผิด เขาด่านายกฯ เขาด่าพระมหากษัตริย์เพื่อจะให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน ก็เดือดร้อนจริงๆ เพราะว่าใครมาด่า เราชอบไหม ไม่ชอบ แต่ว่าถ้านายกฯ เกิดให้ลงโทษแย่เลย เพราะนักกฎหมายต่างๆ จะให้ลงโทษคนที่ด่าพระมหากษัตริย์ ทำไปทำมาเลยต้องว่า ถ้าด่านายกฯ นายกฯเดือดร้อนแน่ ถ้าด่านายกฯ พระมหากษัตริย์ก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าเป็นเรื่องของนายกฯ แต่ถ้าเขาด่าพระมหากษัตริย์ นายกฯ เดือดร้อน เพราะว่าต้องเป็นคนจัดการ ถึงได้ยุ่งอย่างนี้กฎหมาย แล้วก็สอนนายกฯมาอย่างนั้น สอนนายกฯ ว่าใครมาด่าเราก็ต้องด่ากลับ มันไม่ดี ไม่พูด ชักจะไม่ดี เพราะว่าชักจะเป็นส่วนตัว แต่ว่าเราเองไม่ขอบอกว่าควรจะทำอะไร ควรจะรู้ นักกฎหมายก็ต้องรู้ว่าทำอะไรถูก อะไรผิด ไม่ต้องพูดทุกวันๆ ที่จริงเขาไม่ได้พูดทุกวัน แต่เขาทำเทปเอาไว้ หรือทำดีวีดี แล้วแจกทั่ว ลงท้ายคนก็ฟังดู เขาเอือมกันนะ ที่ไปแก้ตัวแทนนายกฯ

วันนี้เราขึ้นมานี่ เราแก้ตัวแทนนายกฯ เพราะว่านายกฯไม่ผิด นายกฯทำได้ทุกอย่าง ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว ไปออกทีวีทุกวันๆ มีคนเขาบอกมา เขาเอือม แต่ว่ามีหน้าที่จะออกก็ออก มีคนที่เขาเดือดร้อนที่อยู่ในนี้ ในรายการ เพราะเขาต้องเป็นคนพูด แล้วก็คนที่พูดนั้นก็เลยถูกลูกหลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ให้การแก้ตัวครั้งเดียวเอาได้ แต่แก้ตัวมาเท่าไหร่ 10 ครั้งได้แล้วนะ ที่ออกทีวี เลยชักจะเอือม คนเขาอยากดูละคร ดูอย่างนี้พอแล้ว เสียไฟฟ้า ไม่ใช่เสียไฟฟ้าของคนที่ดู เสียไฟฟ้าคนที่ส่ง เพราะว่าทีวีออกทีใช้ไฟฟ้าแรงเหมือนกัน เสียน้ำมัน เลยนึกว่าควรจะพูดพอแล้ว ที่พูดนี้ก็เสียไฟฟ้ามาก เขาควรจะบอกว่าเลิกซะทีไม่ต้องพูดมาก แต่เราก็พูดตอบ เพราะว่าเป็นรายการที่อัดเสียงใส่เทปเอาไว้ ไม่ได้ออกโทรทัศน์ ไม่ต้องเสียไฟฟ้าสำหรับโทรทัศน์

วันนี้มาพูดถึงไฟฟ้าและพลังงาน การไฟฟ้าต้องใช้พลังงานสำหรับปั่นไฟฟ้าต้องใช้พลังงาน เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้า อันนี้ทำมานานแล้ว เวลาขาดแคลนเชื้อเพลิงก็บอกว่าให้ปิดโทรทัศน์ ให้ปิดไฟ แล้วบอกว่าได้ผลดี ความจริงเปิดโทรทัศน์นี้ไม่เป็นไร ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้วก็ยังใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นได้ แต่ต้องขยัน ต้องหาวิธีที่จะทำให้เชื้อเพลิงเกิดขึ้นมาใหม่

เชื้อเพลิงที่เรียกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมันจะหมด ภายในไม่กี่ปี คือไม่กี่สิบปีก็หมด ถ้าว่าไป 40 ปีหมด เราก็จะอายุ 118 เราจะมีชีวิตอยู่อีก 2 ปี 2 ปีนั้น เราก็จะใช้ก๊าซโซฮอล์ หรือไม่ใช้ก๊าซโซฮอล์ เพราะว่าก๊าซโซฮอล์ใส่แอลกอฮอล์เพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ อย่างมาก ต้องใช้น้ำมันปาล์ม เขาก็ใส่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ในระหว่างที่จะถึงอายุ 118 หาวิธีได้แล้วที่จะทำ ที่จริงเมื่อ 2 ปีก็ทำไบโอดีเซลโดยใช้น้ำมันปาล์ม 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่เพียงน้ำมันปาล์ม 10 เปอร์เซ็นต์ นายกฯได้เห็นรถแล่นมา น้ำมันปาล์ม 100 เปอร์เซ็นต์ เรายืนอยู่ที่รถคันหนึ่ง แล้วก็มีรถอีกคันหนึ่งถอยหลังมา ได้ยินเสียงบึมๆมา นั่นอะไร รถดีเซล รถใช้น้ำมันดีเซล 100เปอร์เซ็นต์ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันปาล์ม แล้วนายกฯ บอกว่าหอมดี แล้วก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่านายกฯไม่ต้องกลัวเป็นมะเร็ง เราทำแล้วหมายความว่าเราไม่เดือดร้อน ถึงเวลาเราอายุ 118 ถ้าอย่างไรเราก็ใช้น้ำมันปาล์มของเราเอง คนอื่นอาจจะไม่ได้ใช้ เพราะไม่มี แต่ว่าเรามีเพราะเราขวนขวายหาวิธีที่จะทำเชื้อเพลิงทดแทนได้ ถ้าไม่ได้ทำเชื้อเพลิงทดแทน เราก็เดือดร้อน เราก็เป็นห่วง แต่เราไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าคนอื่นเขาไม่ทำ เขาอาจไม่มีน้ำมัน ไบโอดีเซลใช้ แต่ว่าเรามี เราคือข้าพเจ้าทำเอง คนอื่นอาจจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ต้องเห็นแก่ตัว แต่ละคนก็เห็นแก่ตัว เพราะแต่ละคนต้องพยายามที่จะหาพลังงานทดแทน

ทั้งนั้น เราเชื่อว่าเวลาเราอายุ 118 นายกฯก็บอกว่าแก่แล้ว แต่เราไม่แก่ เพราะเราคิดทำพลังงานทดแทนอยู่เรื่อย แต่นายกฯบอกแก่ จะถึงอายุเท่าไหร่ 90 จะเอา 94 หรือ 96 นายกฯ อายุ 94 อาจจะแข็งแรงก็ได้ คงแข็งแรง อาจจะมีความคิดที่จะสร้างโรงงานก๊าซโซฮอล์และไบโอดีเซลสำเร็จแล้ว นายกฯก็ไม่เดือดร้อน เอาไบโอดีเซลใส่เครื่องบินได้ เครื่องบินเขาใช้ไบโอดีเซลได้แล้วสมัยนี้ แต่ลำไม่ใช่โตๆ แต่เวลานั้นอาจจะใส่ลำโตๆ สำหรับนายกฯได้ อาจจะมี แต่ว่าเฉพาะนายกฯ คนอื่นไม่สามารถที่จะมี ก็ 2 คนละ พระเจ้าอยู่หัวกับนายกฯ มีเครื่องบินใช้ และใช้ไบโอดีเซล

ท่านองคมนตรีสั่นหัว ท่านองคมนตรีสั่นหัวว่าไม่มี ว่าท่านเวลานั้นท่านอายุเท่าไหร่ 130 ก็คงไม่อยู่แล้ว เราก็อยู่ 2 คน สุดท้ายเราอยู่ 2 คน มีไบโอดีเซลใช้ แล้วจะไปไหน จะไปเชียงใหม่ ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วไปเชียงใหม่ ไปดูสวนสัตว์ ก็สวนสัตว์อยู่สบาย เพราะว่าเขาไม่ต้องใช้ไบโอดีเซล เป็นอันว่าไม่ต้องกลัว เราไม่เดือดร้อน เพราะว่าอีก 40 ปี มีไบโอดีเซลพอสำหรับเราใช้ 2 คน แต่อย่างไรก็ตาม ที่นี่ ชักเฟื่อง พูดว่าเราอีก 40 ปี จะมี 2 คน ที่มีพลังงานน้ำมันใช้ได้ แล้วดูทีวีได้ ดูทีวีก็อาจจะ โฆษณาอะไรในทีวี นายกฯก็ชี้แจงได้ เปิดทีวีให้ใช้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาปั่นไฟฟ้า ป่านนั้นทีวีอาจจะมีอะไรใหม่ แล้วอาจจะมีข่าวต่างๆ ฉะนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง ทีนี้ก็ต้องดูเป็นบุคคลๆ

การที่จะบอกว่าเป็นห่วง เป็นห่วงทั้งบ้านเมือง ก็เป็นห่วง แต่ว่าถ้าเราคิดจริงๆ ไม่ต้องๆเป็นห่วง เพราะแต่ละคนเขาต้องมีการขวนขวายเหมือนกัน เป็นอันว่าถ้าแต่ละคนขวนขวายของตัว อีก 40 ปี ไม่มีความเดือดร้อน โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย มีคนที่มีความคิดดีๆ ก็คนหนึ่ง ข้าพเจ้าคนหนึ่ง มีความคิดดีๆ และนายกฯ อีกคนหนึ่ง มีความคิดดีๆ ไม่จนมุม ฉะนั้น 2 คน ไม่เดือดร้อน คนอื่นเขาต้องไม่เดือดร้อน เขาก็จะต้องหาทางออกได้ เพราะว่าถ้าเดือดร้อน ต้องไปดูโครงการพระราชดำริ โครงการพระราชดำริเปิดเผยให้ทุกคนได้ทั้งนั้น แล้วก็ถ้าปฏิบัติตามโครงการพระราชดำริ ทำอย่างเศรษฐกิจพอเพียง ตอนนี้นายกฯก็เศรษฐกิจพอเพียง ไม่จ่ายเงิน ไม่ไปจ่ายเงินแล้ว ใช้แบบเศรษฐกิจพอเพียง เพราะว่ามีการโฆษณาคู่สมรสของคณะรัฐมนตรี ก็ชำนิชำนาญในเศรษฐกิจพอเพียงเก่งมาก นี่ก็อีกคนหนึ่งที่ทำได้ก็เลยไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ทราบว่าคู่สมรสขององคมนตรีจะทำเศรษฐกิจพอเพียงหรือเปล่า สงสัยว่าไม่ทำ ท่านรองนายกฯทั้งหลายก็อาจจะไม่ทำ เพราะว่าเคยชินกับเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินมาก ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ นายกฯและคุณหญิงอาจจะให้เพื่อนนายกฯ รองนายกฯต่างๆ เขาทำเศรษฐกิจพอเพียงซักนิดหน่อย ก็จะทำให้อีก 40 ปี ประเทศชาติไปได้ และนี่ก็มีแต่นายกฯ รองนายกฯ จัดการ รวมทั้งคู่สมรสทำเศรษฐกิจพอเพียง ก็เชื่อว่าประเทศจะมีความประหยัดได้เยอะเหมือนกัน คือถ้าไม่ประหยัดประเทศไปไม่ได้ คนอื่นไม่ประหยัด สำหรับคณะรัฐมนตรีประหยัด คณะไม่ใช่คณะรองนายกรัฐมนตรี จะทำให้ไปได้ดีขึ้นเยอะ ไม่เหลียวมามองทางนี้บ้างว่าสภาเป็นอย่างไร

สภาด้วยเหมือนกัน ขยันอยากทำ เพราะสภาเป็นอาจารย์ของนายกฯ นายกฯสอนครูหน่อย สอนอาจารย์ว่าเศรษฐกิจพอเพียงทำอย่างไร สอนครูคนเดียวก็พอแล้ว เพราะว่าครูก็ไปสอนคนอื่นต่อไป เหลือแต่ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านไม่ต้องสอน เพราะเขาพอเพียงอยู่แล้ว หัวหน้าฝ่ายค้านไม่ทราบเขาพอเพียงหรือเปล่า แต่อย่างน้อยอดีตหัวหน้าพรรคเขาพอเพียง พอเพียงอย่างมากๆ เขาทำอะไรที่ทำให้ ประเทศชาติใช้เงินนิดเดียว ไม่พอ เขาจึงต้องออก เลยไม่ รู้ว่าฝ่ายค้านจะพอเพียงหรือไม่ แต่อย่างน้อยอดีตหัวหน้าพรรคเขาพอเพียงมาก จนกระทั่งต้องออกจากหัวหน้าพรรค นอกจากนั้น ถ้าทุกคนเลื่อมใสว่าจะต้องพอเพียงก็ปฏิบัติเถิด เพราะว่าถ้าปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้จริงๆ ไปได้ จริงๆ แต่ว่าอาจจะไม่ค่อยสบาย ทุกอย่างที่นายกฯพูด ไม่ได้แต่งเอา นายกฯพูดที่พระเจ้าอยู่หัวพูดอะไร ทำอะไรถูกต้อง ชื่นชมว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ทำให้ประเทศชาติอยู่ได้ เช่นเดียวกับแก้มลิง เมื่อครั้งก่อนนี้ที่พูดถึงแก้มลิง คนก็หัวเราะ เดี๋ยวนี้ไม่หัวเราะแล้ว เพราะว่าลิงต้องมีแก้ม ถ้าลิงไม่มีแก้ม อยู่ไม่ได้ คนเราก็ต้องมีแก้ม เป็นแก้มคน แต่แก้มคนก็เป็นแก้มลิงได้

คือหมายความว่า ต้องระวังรักษาอะไรที่กล้วย ที่กินเข้าไปก็เก็บไว้ได้เป็นการประหยัด จะพูดอะไรก็เก็บไว้ในแก้ม เก็บในแก้มก็ได้ ประหยัด คือแก้มลิงเป็นการประหยัด แล้วก็โครงการอะไรอื่นๆที่พูด อย่างฝายแม้วก็ฝายฝ่ายนายกฯ คราวนี้ฝายเรานี้ เราทำฝายแม้ว เดี๋ยวนี้ซาบซึ้งหรือเปล่าว่ามีประโยชน์อะไร คือมีประโยชน์ ทำให้ไม่มีน้ำท่วมหรือไม่มีน้ำแล้ง ตอนนี้น้ำท่วมเชียงใหม่ นายกฯเดือดร้อนมาก โกรธมาก ทำไมมีฝายแม้วแล้ว ทำไมน้ำยังท่วม ก็เพราะว่าฝายแม้วทำไม่ถูกต้อง ทำไม่ดี แล้วก็ปล่อยน้ำลงมาผิดทาง ที่จริงไปดูที่กุยบุรี นั่นน่ะไปขยายเขื่อนที่กุยบุรีที่ยางชุม เคราะห์ดีไปทำแล้ว โครงการ

พระราชดำรินี้ถ้าทำตามที่ทางชลประทานเขาจะทำ ป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ เพราะถ้าไม่เสร็จน้ำท่วมแล้ว ปีนี้น้ำไม่ท่วมกุยบุรีและประจวบคีรีขันธ์ ท่วมบ้าง แต่ว่าไม่ขึ้นมาถึงหัวหิน เพราะว่าเขื่อนกุยบุรีได้ขยายให้เก็บน้ำได้ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร เพราะว่าเดี๋ยวนี้เรามีโครงการพระราชดำริ เราบอกทำเลย อธิบดีชลประทานทำยังไงจะต้องของบประมาณ งบประมาณไม่มี ก็มีโครงการพระราชดำริ เลยทำทันทีแทนที่จะใช้เวลา 3 ปี ก็ใช้ 2 ปีทำงานได้ ที่เราไปดูทำงานได้จริงๆ เพราะว่าถ้าไม่มีน้ำ 9 ล้านลูกบาศก์เมตรเต็มแล้ว แต่ว่าน้ำล้นไหม ปกติ ตามจำนวนที่ปกติ เลยทำให้น้ำไม่ท่วม ถ้าน้ำ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร ฝนลงฟู่ๆมีหวังท่วม ทั้งด้านบนทั้งด้านล่าง แล้วน้ำนี่ก็ทำลาย

ฉะนั้น ถ้าเราทำโครงการที่ใช้งานได้เร็วๆ ประหยัดทรัพย์ ความจริงที่ใช้เงินตอนนั้น ใช้เงินร้อยล้านกว่าๆ เดี๋ยวนี้กลับคืนมาแล้ว ถ้าไม่ได้ทำน้ำที่มาท่วมก็ทำลายร้อยล้าน ครบร้อยล้าน ถ้าคนที่พยักหน้านี่ เขาไม่ร้อยล้าน ไม่ใช่อะไรต้องพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน แปดร้อยล้าน ชาวบ้านเขารู้สึก หมายความว่าร้อยล้านที่เอาจากโครงการพระราชดำริกลับคืนมาแล้ว แล้วกลับคืนมาที่ไหน ก็ที่ประชาชน ประชาชนได้ แต่ถ้าไม่ได้ ไม่ได้ใช้เงินนี้ ปีหน้าจะต้องใช้ 2 ร้อยล้าน เพราะว่าถ้าไม่ใช้เงินทันที

เงินมีอยู่ คนบอกว่าบางทีเขาบอกว่าไม่มีเงิน แต่เงินอันนี้มีอยู่ เพราะว่าในงบประมาณมี ถ้าไม่มีก็หมายความว่างบประมาณทำไม่ถูกและ 100 ล้านใช้ไป ใช้ดีแล้ว ใช้ถูกต้อง ไม่เสียหาย ทำให้ประชาชนได้กำไร ถ้าไม่ได้ใช้ไปก็ไม่รู้ว่าใครใส่กระเป๋าไปไหน ประชาชนก็ไม่ได้ ฉะนั้นที่ได้ทำโครงการ ประหยัดไปหนึ่งปี ที่ไปดูนั่นเห็นประจักษ์ว่าน้ำไหลออกจากเขื่อน หรือไม่ใช่หลอก น้ำ จริงๆ ลงมาเต็มเขื่อน แทนที่จะเป็น 38 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 40 กว่าล้านที่ลงมาทำให้น้ำลงมาเก็บและล้นมาได้ เพราะน้ำยังไม่ทันได้ใช้ เวลาแล่นรถไปข้างล่างก็เห็น ทำนาได้ นานี่มีประโยชน์เพราะว่าข้าวไม่เสีย ข้าวได้ใช้แล้ว ถ้าจะเอาข้าวนี้ไปส่งนอก เราก็ได้เงิน หรือได้ของไปแลกเปลี่ยนได้ ฉะนั้นโครงการ 100 ล้านนี้ ทำดีแล้ว ช่างชลประทานก็มีความรู้พอที่จะทำ ไม่ต้องอาศัยช่างจากต่างประเทศ ช่างในเมืองไทยนี่เอง แล้วใช้เครื่องมือ ในเมืองไทย ก็เลยรู้สึกว่าปีนี้ที่ได้เห็นการขยายโครงการ กุยบุรีนี้ ได้ผลจริงๆ ได้ไปดู ดีใจพอใจ

ฉะนั้น ต้องเล่าให้ฟังว่าที่ได้ไปดูโครงการชลประทานที่กุยบุรี ที่หมู่บ้านยางชุม เป็นโครงการที่ใช้งานได้ แล้วไม่ใช่ที่ยางชุมเท่านั้น ข้างๆก็มีการสร้างเขื่อนที่จะกักน้ำได้ผลดี ยังต้องทำอีกมาก แต่เวลามาพูดกับสมาคมนี้ก็พูดถึงชลประทาน ได้ผลดี แต่ค่อยๆ ทำเพราะว่าไม่ใช่ว่าไม่มีเงินเท่านั้นเองเงินมีไม่พอ แต่ว่าที่ที่จะทำมันไม่มี แล้วต้องศึกษาให้ดี ถ้าบอกพระเจ้าอยู่หัวบอกให้ทำอย่างนั้นๆ เสร็จแล้วไม่มีหลักวิชาที่ดีก็อาจจะเสียได้ แต่ว่าการที่จะทำต้องพยายามหาที่ๆจะทำ แล้วก็ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง โครงการอย่างอื่นก็มีที่จะต้องทำ ไม่ใช่เฉพาะชลประทาน แต่ว่าโดยที่เราเป็นผู้ที่เขาเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญชลประทาน ก็กล้าที่จะบอกว่าควรจะทำ

นี่ก็รู้สึกคล้ายๆกับง่วงแล้ว เดี๋ยวนี้ชักมืดเร็ว ถ้าง่วง เดี๋ยวไปนอนได้ รู้สึกว่าสมควรแก่เวลาก็ขอขอบใจที่ท่านมาให้พร แล้วก็ให้พรนี่ดี เพราะว่าถ้าไม่ให้พร ก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไร ถ้ามาให้พรเราก็มีกำลังใจที่จะทำงานด้านต่างๆ เราก็ให้พรกับทุกฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ให้กำลังใจทำอะไรก็ทำ ทำได้ดี แต่วันนี้ไม่พูดให้ทำอะไร เพราะว่าทะเลาะกัน ไม่เอาไม่ให้ทะเลาะ ให้ทำอะไรที่ดูจะดีแล้วคิดให้อย่าเกิน อย่าเลยเถิด แต่ว่าถ้าแต่ละคนทำงานให้เหมาะสม บ้านเมืองจะไปได้ ถึงว่าจะต้องให้พรให้บ้านเมืองไปได้ ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่มีการหัวชนฝา จะทำอะไรก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จ พอสมควร เศรษฐกิจพอเพียงหรือทำให้พอเพียง แต่ไม่พอเพียงก็ไปไม่ได้ ถ้าทำพอเพียงสามารถที่จะนำพาประเทศให้ดี ไปได้ดี ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ในความสำเร็จพอเพียงและเพื่อให้บ้านเมืองบรรลุความสำเร็จที่แท้จริง ขอให้รู้ว่า คนที่รับพรก็รับไป คนที่ไม่รับพร ก็คิดในใจ ก็ขอขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พร เรารับพรของท่าน

(ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัรฐ)