เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘ ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

     พระพรหมเมธี (จำนงค์ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวภายหลังประชุมมส.ว่าที่ประชุมมส.ได้มีมติเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้ง 2 แห่ง ได้แก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย(มมร.)เสนอสมณศักดิ์พิเศษฝ่ายการศึกษา มหาวิทยาลัยสงฆ์ซึ่งถือเป็นโควตาที่ไม่รวมกับสายปกครอง และด้านอื่นๆ ตามที่พระพรหมโมลี(สุชาติธมฺมรตโน) ประธานคณะเลขานุการผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเสนอ เนื่องจากที่ผ่านมาสมณศักดิ์ส่วนใหญ่จะเน้นที่สายปกครอง โดยคณะสงฆ์เห็นว่าควรที่จะให้ขวัญกำลังใจแก่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2แห่งพร้อมมอบหมายให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ไปดำเนินการศึกษาจำนวนความเหมาะสม เพื่อให้ทันเสนอพร้อมกับสมณศักดิ์ประจำปี ๒๕๕๘ นี้ พระพรหมเมธี กล่าวต่อไปว่า สำหรับรายละเอียดตามหนังสือเรื่องการให้สิทธิ์มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง เสนอขอรับพระราชทานสมณศักดิ์ ที่พระพรหมโมลีลงนามเสนอมส. นั้นระบุว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ปรารภถึงบุคลากรฝ่ายบรรพชิต ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งได้สนองงานคณะสงฆ์ ด้วยความตั้งใจ อดทน เสียสละด้วยดีตลอดมามีผลแห่งการปฏิบัติงานเป็นที่ประจักษ์ สมควรได้รับการยกย่องส่งเสริมให้มีเกียรติคุณเป็นที่ปรากฏ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยได้พิจารณาเสนอขอพระราชทาน สมณศักดิ์เป็นการเฉพาะให้ฝ่ายการศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์เป็นการเฉพาะ “สำหรับ หลักเกณฑ์การคัดเลือกนั้น มส.ให้สิทธิ์มหาวิทยาลัยเสนอบุคลากรฝ่ายบรรพชิตผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระ สังฆาธิการแล้วได้รับการพิจารณาคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ข้อบังคับ ของมหาวิทยาลัยโดยการพิจารณาของคณะกรรมการที่มหาวิทยาลัยตั้งขึ้นโดยมี อธิการบดีเป็นประธานคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้วเสนอผ่านความเห็นชอบ ของสภามหาวิทยาลัยจากนั้นจึงนำเสนอคณะอนุกรรมการพิจารณาสมณศักดิ์ในแต่ละ ฝ่ายคือธรรมยุตและมหานิกายเพื่อพิจารณา โดยมีอัตรานอกเหนือจากสมณศักดิ์ภายในประเทศทั่วไปหรือโควตาพิเศษต่างหาก ทั้งนี้สมณศักดิ์ที่นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ต้องเป็นสมณศักดิ์ที่ไม่เกินกว่าสมณศักดิ์ที่เจ้าอาวาสของพระรูปที่ขอ สมณศักดิ์สังกัดอยู่และต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าอาวาสรับรองในประวัติขอ รับพระราชทานสมณศักดิ์ด้วย”โฆษกมส.กล่าว 

(กองสื่อสารองค์กร รายงาน)   ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์