ข่าวประชาสัมพันธ์
เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ ประกาศผลักดันความเชื่อเรื่องพญานาค เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง ขอขึ้นทะเบียนรายการต่อองค์การยูเนสโกร่วมกัน ๕ ชาติ ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม
04 ก.ค. 65 | ข่าวมหาวิทยาลัย
861

วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และมูลนิธิวีระภุชงค์ ได้จัดงานแถลงข่าวหัวข้อ "อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาค สู่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม" ที่ห้องประชุม บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด อำเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี โดยในงานมี ดร.วินัย วีระกุชงค์ ประธานมูลนิธิวีระภุชงค์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ เป็นประธานในพิธี และผู้เข้าร่วมแถลงข่าวจากคณะผู้วิจัย คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้แก่ พระเมธีวรญาณ ป.ธ.๙ ผศ.ดร. รองคณบดีฝ่ายบริหาร พระมหายุทธนา นรเชฎโฐ ป.ธ.๙ ผศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระไตรปิฏก รองศาสตราจารย์ ดร.ณัทธีร์ ศรีดี รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และนางสาวทิพย์วรรณ วีระกุชงค์ กรรมการมูลนิธิวีระฎชงค์ ดร.สุภชัย วีระฎชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘o และ นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม


งานแถลงข่าวครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสสรุปงานวิจัยชุดแรกหัวข้อ "อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่มีต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย" ภายใต้แผนการวิจัยหัวข้อ "อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขง" โดยจะลงพื้นที่ศึกษาวิจัยในหัวข้อเดียวกันที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา เร็วๆ นี้


ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘o กล่าวว่า "ความคิดริเริ่มสนับสนุนการทำงานวิจัยหัวข้อ อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขงนั้น ได้มาจากการวางแผนจัดกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมความตระหนักในการนำแก่นธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิตของคนในลุ่มน้ำโขง เนื่องจากตลอดการเดินทางในงานธรรมยาตรา ๕ แผ่นดินไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม ที่ผ่านมา พบว่า ทุกวัดมีเรื่องราวและรูปปั้นพญานาค ไม่ว่าจะเป็นวัดพุทธเถรวาทหรือมหายาน จึงทำให้คิดถึงการรวบรวมองค์ความรู้เรื่องพญานาคที่ ถูกต้องให้ครอบคลุม เพื่อค้นหาความผูกพันขององค์พญานาคในการพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนา และลบความเชื่อผิด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์พญานาคออกไป สถาบันฯ จึงสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยเรื่อง "อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขง" ขึ้น ซึ่งมีคณะผู้วิจัยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการพระพุทธศาสนา จากคณะพุทธศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นำโดยพระเมธีวรญาณ ป.ธ.๙ ผศ.ดร. รองคณบดีฝ้ายบริหาร รับเป็นผู้อำนวยการแผนงานวิจัยทั้งชุด "สำหรับผลการดำเนินการวิจัยชุดแรกเรื่อง "อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่ มีต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย" มีสรุปผลการวิจัยอย่างชัดเจนว่า "อิทธิพลความ เชื่อเรื่องพญานาคที่มีต่อพระพุทธศาสนาไทยมีหลายด้าน ทั้งด้านความเชื่อ ด้านศิลปกรรม ด้านวรรณกรรม และด้านพิธีกรรม แต่ละด้านได้สะท้อนให้เห็นถึงความมี อยู่จริง ตลอดจนแสดงถึงความสำคัญและอิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่มีต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างชัดเจน จนกลายเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของความเชื่อที่ปรากฏให้เห็นทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ศิลปกรรม และด้านประเพณี

"จากแนวการศึกษาวิจัยชุดแรกที่ประเทศไทยได้สำเร็จลงแล้ว ได้วางแผนลงพื้นที่วิจัยที่ ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม โดยมีเป้าหมายนำองค์ความรู้"ความเชื่อเรื่องพญานาค" ยกระดับให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง และขอขึ้นทะเบียนรายการต่อองค์การยูเนสโกร่วมกัน ๕ ประเทศ ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม นี่คือความฝันของพวกเรา ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ ของชาวพุทธลุ่มน้ำโขงที่มีมรดกโลกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมร่วมกัน"

สำหรับแผนการวิจัยหัวข้อ "อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขง" นั้น ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากมูลนิธิวีระฎชงค์ นางสาวทิพย์วรรณ วีระฎชงค์ กรรมการมูลนิธิวีระภุชงค์ กล่าวว่า "รู้สึกปลื้มปีติและยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสสนับสนุนทุนวิจัยให้กับงานที่ทรงคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการปกป้องและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของมูลนิธิวีระภุชงค์ คือ มุ่งทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมคุณธรรมให้กับคนในสังคมมีความสุขและพบกับความเจริญ ในชีวิต ในโอกาสนี้ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้ และขอสนับสนุนแผนการวิจัยหัวข้อ"อิทธิพลความเชื่อเรื่องพญานาคที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในลุ่มแม่น้ำโขง" ที่จะลงพื้นที่ศึกษาที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาต่อไป เชื่อมั่นว่าเมื่องานวิจัยนี้สำเร็จครบสมบูรณ์ จะมีข้อมูลและองค์ความรู้ที่ ชัดเจนและเป็นรูปธรรม จนสามารถผลักคันความฝันที่จะนำเรื่องนี้ยกระดับขึ้นสู่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงร่วมกัน ๕ ชาติ สำเร็จดังความตั้งใจ"