![]() |
มจร ผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับสถาบัน (สกอ.) ผ่านระดับดี | ||
วันที่ ๒๘/๐๙/๒๐๑๑ | เข้าชม : ๑๑๖๕๕ ครั้ง | |
รศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัย มีจุดแข็ง คือ มีสภามหาวิทยาลัยที่เข้มแข็ง อธิการบดีเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ มีความเชื่อมโยงระดับต่างๆ อย่างทั่วถึง มีสถานที่สวยงาม สะดวกด้วยความมีศีลปะวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม สาขาที่เปิดสอนเป็นที่ยอมรับ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาองค์กรสงฆ์อย่างดียิ่ง มีการจัดประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ด้านวิชาการเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่าสูง ส่วนที่เป็นข้อจำกัด ที่ควรพัฒนา คือ การจัดทำแผนกลยุทธ์ การสร้างอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ เน้นขยายกลยุทธไปสู่ภาคปฏิบัติมากขึ้น ด้านงานวิจัยมีการเผยแผ่น้อย ควรเพิ่มให้มีมากขึ้น การตีพิมพ์ควรเน้นคุณภาพการตีพิมพ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับ กิจกรรมหลายด้านไม่มีการรับรู้จากสภามหาวิทยาลัย จำเป็นต้องรายงานให้สภามหาวิทยาลัยรับทราบเป็นระยะ รวมทั้งเพิ่มกระบวนการบูรณาการการมีส่วนร่วมในระดับต่างๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะเกี่ยวกับแผนฯ นำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง สภามหาวิทยาลัยควรมีบทบาทเพื่อพิจารณาให้ความเห็นและนำไปสู่ความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ควรกำหนดมาตรการและแผนพัฒนามหาวิทยาลัยด้านภาษาอังกฤษให้มากขึ้น รศ.ดร.ยุทธนา ตระหง่าน กล่าวว่า “คุณภาพด้านภาษาอังกฤษยังต่ำ รศ.ดร.ยุทธนา ได้กล่าวต่อท้ายว่า “ด้านการวิจัย ขาดการร่วมคิดร่วมทำ ผลงานวิจัย ต้องแยกกัน งานวิจัยใด เป็นงานของคณาจารย์ งานวิจัยชิ้นใด เป็นงานของนิสิต นักศึกษา มีการตีพิมพ์ สร้างสรรค์ งานวิจัยของนักศึกษาควรดำเนินการโดยคณะ” ผศ.ดร.บัณฑิต ทิพากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า “มจร มีจุดเด่น มีอัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ที่มหาวิทยาลัยอื่นไม่มี ในฐานะมหาวิทยาลัย มีหน้าที่พัฒนาบุลากรทางพระพุทธศาสนาให้เป็นผู้นำความรู้ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต คุณธรรม จริยธรรมให้สังคมไทย ซึ่งเป็นจุดเด่น พุทธศาสตรบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาออกไป เป็นนักพัฒนา เป็นนักเปลี่ยนแปลงมนุษย์ โดยการอาศัยหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยควรเน้นอย่างมาก คือ เน้นการพัฒนาด้านสมอง ความคิด การพัฒนาทางความคิด เป็นการวางรากฐานของสังคม เน้นการการเรียนที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง เน้นกระบวนการพัฒนา บนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา โลกปัจจุบันเน้นความความแตกต่าง มหาจุฬาฯ ต้องนำจุดเด่นการบริหารจัดการพัฒนาผู้เรียนสู่ความเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลง” ผศ.ดร.บัณฑิต ทิพากร กล่าวต่อว่า “มหาจุฬาฯ ต้องยอมรับว่า การบริหารงานปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ไม่ได้อยู่ด้วยระบบ เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องไปพัฒนากลไกการพัฒนา ทำอย่างไรจะให้บุคลากรมีคุณภาพ สามารถต่อยอดงานกันได้ เน้นการเรียนการสอนแบบมุ้งเน้นผลลัพธ์ เป็นสำคัญ โดยมีอาจารย์เป็นศูนย์กลาง นั้นคือ การเน้นผลิตบัณฑิตที่สามารถนำความรู้ไปเปลี่ยนแปลงสังคมได้” พระครูสุตกิจบริหาร (ขุนทอง) รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา กล่าวว่า “การประเมินครั้งนี้ เป็นการประเมินแผนพัฒนามหาวิทยาลัย ระยะ ๑๐ ซึ่ง ผศ.ปราณี พรรณวิเชียร ยังกล่าวต่อไปว่า “ระบบและกลไกการเงินและงบประมาณ งบประมาณ มี ๒ ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายประจำ เช่น เงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ส่วนที่ ๒ โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนา จะต้องมีการควบคุมกำกับ ติดตามการใช้เงินงบประมาณให้ถูกต้องตามแผนงานโครงการ เน้นการตอบโจทย์แผนพัฒนามหาวิทยาลัย ที่ขาดคือ แผนกลยุทธ์ ซึ่งจะต้องปรับปรุง ติดตาม คณะกรรมการการเงินและทรัพย์สินจะต้องมีการประชุมติดตามอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องมีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง” พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวต่อไปว่า “หากมหาวิทยาลัยสามารถสร้างระบบกลไกการบริหารจัดการ ระดมการเรียนการสอนร่วมกับฝ่ายวิจัย คณะ ภาควิชาต่างๆ ร่วมกันคิด ร่วมกันดำเนินการวิจัย นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ใช้ระบบการเรียนการสอนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ สู่ภาคปฏิบัติ ช่วยงานบริการวิชาการ แก่สังคม จะทำให้มหาวิทยาลัยเจริญรุ่งเรืองแบบก้าวกระโดด ส่วนที่ทำดีอยู่แล้ว เช่น การบริการวิชาการแก่สังคม” โดยพระธรรมโกศาจารย์ "ได้เน้นให้ผู้บริหารทุกระดับชั้นของมหาวิทยาลัย ยึดเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ความเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เป็นกระจกสะท้อนที่มีคุณประโยชน์ รวมทั้งการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อลดช่องว่าง เช่น การสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการต่อไป" สำหรับผลการประเมินในครั้งนี้ ปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ตามหลักเกณฑ์ประเมิน ประกอบด้วย ๙ องค์ประกอบ ๔๒ ตัวบ่งชี้ ใช้ระบบการให้คะแนนเต็ม ๕ คะแนน ผลคือ ได้ ๓.๘๔ อยู่ในระดับดี ซึ่งเป็นการรายงานด้วยวาจา ระบบประกันคุณภาพการศึกษา เป็นเงื่อนไขที่สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ต้องมี เพื่อเป็นเครื่องมือในการรักษามาตรฐานการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา ควบคุมคุณภาพทางวิชาการ และปรับปรุงการปฏิบัติภารกิจทุก ๆ ด้านอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของความมีเสรีภาพทางวิชาการและอิสรภาพในการดำเนินงาน ที่ยังคงเอื้อต่อการตรวจสอบจากสังคมภายนอก อันนำมาซึ่งความมีมาตรฐานทางการศึกษาในระดับที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล การที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษา ในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่จะต้องทำ คือ การประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกรอบสามของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ซึ่งจะเข้ามาประเมินมหาจุฬาฯ ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ทุกภาคส่วนของมหาจุฬาฯ จะต้องร่วมมือกัน หากส่วนงานใดส่วนงานหนึ่งไม่ผ่านการประเมิน จะส่งผลให้มหาวิทยาลัยตกอยู่ที่นั่งลำบากไปด้วย |
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||
![]() ![]() |