คมชัดลึก (๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕) : การศึกษาไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน ซึ่งใครก็ตามถ้าหากคิดจะศึกษาก็สามารถที่จะไขว่คว้าหาความรู้มาสู่ตนเองได้ ไม่ว่าระดับไหนทุกคนมีโอกาส มีสิทธิ์ที่จะศึกษาได้ เช่น นายประดิษฐ์ ดีเลิศ วัย 82 ปี ชาว ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ถึงแม้ว่าอายุของเขาจะมากแล้ว แต่นายประดิษฐ์ยังเดินหน้าที่จะร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ให้กับตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีไม่มีใครแก่เกินเรียน ถึงแม้อายุ 82 ปี ก็มีดีกรีเรียนจบด๊อกเตอร์ได้
นายประดิษฐ์ เปิดเผยว่า ตนเติบโตมาในครอบครัวที่มีวิถีแบบชนบท ถึงแม้ว่าชีวิตครอบครัวแต่ก่อนจะอยู่ในเมืองขอนแก่น แต่ในสมัยนั้นเมืองขอนแก่นก็ไม่ได้เจริญเติบโตเหมือนปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่มีโอกาสน้อยมากที่จะได้ศึกษาเล่าเรียน ไปไหนมาไหนในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ ก็มักจะถูกล้อว่าเป็นลาว หรือคนบ้านนอก แต่เนื่องด้วยเกิดมาเป็นคนอยากรู้ อยากเห็น อยากลองในสิ่งใหม่ๆ ยิ่งแล้วเมื่อเห็นเพื่อนๆ หรือคนที่เขามีฐานะดีได้รับโอกาสได้ศึกษาได้เรียน ได้สิ่งดีๆที่เขาอยากได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการ อยากใฝ่เรียน อยากไฝ่รู้ ประกอบกับความเชื่อมั่นส่วนตัวเมื่อเห็นเขาทำได้เราก็ต้องทำได้ อีกทั้งที่ผ่านมาสมัยเด็กก็มักจะได้รับการดูถูกจากคนในเมืองใหญ่ จึงทำให้กลายเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองมีความตั้งใจที่จะเรียนหนังสือ เพื่อลบการดูถูกของคนสังคมเมืองใหญ่ในขณะนั้น
นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า หลังจากที่มีแรงบันดาลใจที่จะเอาชนะการดูถูกของคนเมืองให้ได้ ทำให้ตั้งแต่เด็กในชีวิตช่วงเรียนชั้นประถม และมัธยม สอบเข้าและสอบออกก็ได้ที่ 1 ของรุ่นมาโดยตลอด เมื่อปี 2494 เรียนจบชั้น มัธยมปลายที่ ร.ร.ขอนแก่นวิทยายน รุ่นแรกของโรงเรียน ก็มุ่งหน้าสู่เมืองกรุงเทพฯแสวงหาใช้วิชาความรู้สอบเข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในคณะนิติศาสตร์ ด้านกฎหมาย ในปี 2497 อายุได้ 23 ปี ก็เรียนจบปริญญาตรีใบแรก ต่อมาหลังเรียนจบจึงได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาตระเวนสอบบรรจุเข้ารับราชการพร้อมกับสร้างครอบครัวทำงานเลี้ยงชีพ โดยการสอบบรรจุได้เป็นครูใหญ่ หรือ ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
ต่อมาด้วยความมุมานะบากบั่นที่จะใช้ความรู้ที่เรียนมาสร้างเงินสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว มองเห็นช่องทางในด้านวิชาการกฎหมายที่พี่ๆเขาว่าความแล้วได้เงินสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากนั้นเมื่อเห็นพี่ๆ และเพื่อนพ้องว่าความสร้างรายได้ดี ตัดสินใจลาออกจาก ครูใหญ่หรือ ผอ.โรงเรียน มาเข้าสมาคมทนายความที่ จ.ขอนแก่น รับจ้างเป็นทนายความ หวังที่จะใช้วิชาที่ศึกษาร่ำเรียนมาว่าความเลี้ยงชีพ แต่ด้วยความซื่อแก่งแย่งชิงดีใครไม่เป็น เขาก็ให้ทำคดีความเฉพาะคดีแพ่ง ไม่ค่อยจะได้เงินดีเหมือนกับคนที่เขาทำคดีอาญา
"ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยมีคดี ก็เลยได้ไปสอบจ่าศาล ซึ่งมีการสอบทั่วประเทศไทย สอบได้ที่ 7 เป็นรองจ่าศาลแพ่งได้ 1 ปี ก็เลยไปสอบศุลกากรสอบได้ที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานตีราคา ไปแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยมีพักพวก อยู่ได้ 1ปี ก็โอนมาเป็นสารวัตรแรงงงาน กรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งขณะนั้นเขาก็เอา 2 คน ผมสอบได้ที่ 2 มีสิทธิ์สอบชั้นโทตำแหน่งประชาสงเคราะห์จังหวัด ไปอยู่จังหวัดนครพนม 5 ปี จากนั้นก็มาอยู่จังหวัดขอนแก่น 1 ปี เลียแข่งเลียขาใครไม่เป็น ถูกย้ายไปอยู่ที่ จ.สกลนคร 7 ปี และต่อจากนั้นเกิดการเบื่อหน่ายในงานก็เลยสมัครมาเป็น ผอ.ศูนย์สงเคราะห์ผู้ประสบภัยประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จ.ขอนแก่น ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ จ.พิษณุโลก ,มหาสารคาม ,เลย และบุรีรัมย์ สุดท้ายลาออกก่อนเกษียณ 5 ปี เพราะเราทำงานอย่างเดียวไม่เอาใจเขา จึงจะถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น เมื่อเห็นท่าไม่ดีเลยชิงลาออกก่อน"นายประดิษฐ์ เล่าเท้าความหลังให้ฟัง
นายประดิษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า ในช่วงนั้นว่างมาก คิดอยากจะเรียนเพื่อเพิ่มความรู้อีก ประกอบกับเห็นมหาวิทยาลัยเปิดอย่างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.)เปิดรับนักศึกษาในช่วงนั้น จึงได้สมัครเข้าไปเรียน ป.ตรี เอกวิชาศึกษาศาสตร์ 4 ปีจบ ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 พอจบ ป.ตรี ที่ มสธ. ก็ถือโอกาสเรียนต่อ ป.ตรี อีก ใบที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) 4 ปีจบเช่นเดียวกัน รับปริญญาปี 2528 จากนั้นก็หันมาเป็นทนายความที่ จ.ขอนแก่น อีก พร้อมทั้งเป็นอาจารย์ช่วยสอนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ด้วยในปี 2529 อยู่ประมาณ 3 ปี แบบไม่มีเงินเดือน พอมีการรับรองหลักสูตรก็โดนบีบไม่ให้มาสอน เขาก็เอาพักพวกเขาเข้ามาสอน พอดีลูกสาวอยู่อเมริกาเลยชวนให้ไปอยู่ด้วย ไปอยู่ได้ไม่นานเลยกลับมาอยู่ จ.ขอนแก่น เห็นว่ามีเวลาว่างเลยเรียนปริญญาโท รุ่นแรก สาขาพระพุทธศาสนา ของ มจร จบในปี 2551 ที่ผ่านมา
จากนั้นไม่นาน มจร ก็ได้เปิดสอนระดับปริญญาเอก (ด๊อกเตอร์) สาขาพุทธศาสนา รุ่นแรกเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ก็เรียนมาได้ 3 ปี ในปี 2555 ก็ว่าจะจบในปีนี้แต่มีเงื่อนไขที่ มจร พึ่งแจ้งว่า สอบหัวข้อวิทยานิพนธ์เสร็จแล้ว ต้องมีการไปค้นคว้าอีก 8 เดือน พร้อมทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง ศึกษาวิเคราะห์รูปแบบการสังคมสงเคราะห์ในพระพุทธศาสนาไปด้วย ซึ่งก็ทำมาสอบใกล้จบหมดแล้ว คาดว่าในเดือนพฤษภาคมปีหน้าก็จบเป็น “ด๊อกเตอร์”แน่นอนแล้ว
"ที่ผ่านมาใครๆ ก็ชอบถามผมว่า เรียนไปทำไมทั้งที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตแล้ว อีกทั้งลูกๆ ทั้ง 9 คน ของผมก็เรียนจบมีงานทำหมดแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขา 8 คน จะเรียนจบแค่ปริญญาตรี และปริญญาโทอีก 1 คน ก็ตาม แต่ผมบอกเสมอว่า ผมพิสูจน์ทฤษฎีที่ไม่มีใครแก่เกินเรียน และเรียนเพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เมื่อไม่ใช้สมองสมองจะฝ่อ เพื่อสุขภาพทางจิตดี ไม่มีใครแก่เกินไปที่จะเรียน" นายประดิษฐ์ ว่าที่ด๊อกเตอร์คนใหม่ กล่าว
..............
ที่มา : คมชัดลึก : รายงานโดยเรื่อง สมโภชน์ สมบัติ / ภาพ ปรัชญา เทพสกุล
http://www.komchadluek.net/detail/20120319/125812/คุณตาวัย82ปีเรียนด๊อกเตอร์มจร.html![](/userfiles/image/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87/deci5jj7fkgif99g88gdh.jpg)