ข่าวมหาวิทยาลัย |
พุทธโอสถ...ปรับระบบสาธารณสุข ใช้ยา 3 เม็ด เพื่อความดับทุกข์ในใจตน | ||
วันที่ ๐๓/๐๙/๒๐๑๒ | เข้าชม : ๘๕๖๕ ครั้ง | |
ในงานสัมมนาผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นประจำปี 2555 ที่อาคาร มวก.๘๔ พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) อ.วังน้อย จ.พระนครศณีอยุธยา ดร.น.พ.บรรพต ตันธีรวงศ์ อดีตคณะกรรมการศูนย์สันติวิธีวิธีสาธารณสุข เป็นหนึ่งในผู้ได้รับคัดเลือกให้การนำเสนอผลงานในครั้งนี้ กล่าวว่า นับตั้งแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2545 เป็นต้นมา พบว่ามีเรื่องราวร้องเรียนระหว่างหมอกับคนไข้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การใช้กฎหมายบังคับในสิทธิผู้ป่วยและการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษา ทำให้ผู้ป่วยที่มารอรับบริการคาดหวังที่จะได้รับบริการอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ การขยายการให้บริการสาธารณสุขของภาครัฐทำให้ จำนวนผู้ให้บริการ หมอและพยาบาลไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษามากขึ้น ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจในการให้การรักษา ผู้ป่วยมองว่าหมอใช้เวลาน้อยในการวินิจฉัยโรคทำให้รักษาไม่หาย บางรายได้รับความสูญเสียหายจากการรักษาเป็นเหตุให้เสียชีวิตหรือพิการบ้าง ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่ได้รับสิทธิการรักษาที่คิดว่าควรจะได้ เป็นเหตุให้ต้องฟ้องร้องเป็นคดีความหากว่าไม่สามารถตกลงกันได้ อีกด้านหนึ่งหมอเองก็มองคนไข้ไม่เข้าใจ ไม่ไว้ใจหมอ และการที่หมอต้องทำงานหนักในการให้การรักษาในแต่ละวัน
เมื่อหมอและผู้ป่วยต่างก็มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกัน การฟ้องร้องจึงเกิดขึ้นถี่ขึ้น ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้สร้างระบบช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยเจรจายับยั้งปัญหา เป็นการยุติปัญหาการฟ้องร้องตั้งแต่ที่รพ. จึงทำให้ตัวเลขการร้องเรียนที่ศาลลดน้อยลง ซึ่งแนวทางการไกล่เกลี่ยที่ใช้อยู่ปัจจุบันใช้หลักการแนวคิดแบบตะวันตก ที่อาศัยการยอมความกันด้วยผลประโยชน์เป็นเพียงการแก้ปัญหาภายนอก แต่ปัญหาภายในคือในด้านจิตใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่าง “หมอกับคนไข้” ไม่ได้ถูกทำให้ดีขึ้น แม้ตกลงกันได้แต่ต่างฝ่ายก็รู้สึกไม่ดี ความปรารถนาที่จะเห็นความสัมพันธ์ที่ดีของหมอและคนไข้ที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไว้วางใจกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยไม่ควรจะหวาดระแวงหมอและหมอเองก็ต้องมองคนไข้ด้วยความเข้าใจและเมตตา จึงเป็นที่มาของหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ในครั้งนี้ คุณหมอเจ้าของผลงานวิจัย กล่าวต่อไปว่า การนำ “พุทธโอสถ” หรือธรรมของพระพุทธเจ้ามาแก้ปัญหาบูรณาการกับแนวทางการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบตะวันตก ผลการศึกษาพบว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะเกิดที่ใจ แนวทางแก้ก็ต้องแก้ที่ใจ และคุณหมอได้พบว่า แก่นแท้คำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถแก้ปัญหาทุกข์ที่เกิดที่ใจได้ ด้วยเม็ดยา 3 ชั้น ได้แก่ 1.ความเข้าใจอย่างพุทธ (ปฏิจจสมุปบาททางการแพทย์) โดยการให้คู่กรณีได้ตระหนักรู้ถึงสาเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจตนนั้นมีเหตุมีปัจจัยเป็นความขัดแย้งในใจตนนั่นเอง การเกิด-การดับแห่งทุกข์โดยพิจารณาเห็นการเกิด-ดับในขันธ์ 5 ทำให้ช่วยพ้นจากทุกข์ได้ ซึ่งการจะเห็นได้อย่างนี้ต้องอาศัยศรัทธาที่จะมองเห็นว่า แม้ความทุกข์ที่เข้ามานั้นเราไม่ปรารถนาไม่ต้องการแต่หากมองให้ดีๆ จะเห็นว่า ยังมีสิ่งที่ดีงามซ่อนอยู่เสมอ ให้มองความทุกข์เป็นของดีเหมือนพบเพชรบนหัวคางคก นอกจากนี้แล้วต้องมีศรัทธาในพระธรรม เชื่อว่าปัญหาจะหนักแค่ไหนหากใช้ปัญญาพิจารณาจะพบว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ ให้มองเห็นว่าทั้งตัวเราและคู่กรณีต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน การพิจารณาแบบนี้ทำให้เกิดความเข้าใจว่าทั้งเขาและเราต่างก็เป็นเช่นนั้นเอง เป็นการเข้าใจอย่างพุทธด้วยหลัก “ปฏิจจสมุปบาท” จะทำให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันหาทางออกของปัญหานำไปสู่ขั้นตอนต่อไป 2.จัดการที่ต้นตอ (อริยสัจทางการแพทย์) การเห็นทุกข์ในปฏิจจสมุปบาททำให้นำไปสู่การร่วมมือกันของคู่กรณีที่จะช่วยหาหนทางออกในการแก้ปัญหาบนฐานความเข้าใจกันแบบพุทธและผลประโยชน์ร่วมกันตามแนวตะวันตก ทำให้เกิดความพึงพอใจจากทั้งสองฝ่าย เป็นการแก้ปัญหาทั้งภายในและภายนอก 3.ปรับโครงสร้างวิธีการจัดการ (มรรควิธีทางการแพทย์) ขั้นตอนนี้จะเห็นว่าเมื่อทราบสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงแล้ว รู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ใจที่เป็นทุกข์ ใช้หลักอริยสัจ 4 ในการหาทางแก้ไขด้วยการปรับฐานใจให้เกิดกุศลตามหลักมรรคมีองค์ 8 คือการดำริชอบ การคิดชอบ การกระทำชอบเป็นต้น โดยการพูดคุยอย่างลึกซึ้ง Profound talk และปรับกรอบความคิด Reframing แบบตะวันตกเป็นเครื่องมือ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการที่จำเป็นทั้งภายในและภายนอกจิตใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ทำให้แก้ปัญหาความขัดแย้งทางแพทย์และสาธารณสุขได้ และทำให้ความสัมพันธ์ที่ดี ความไว้วางใจระหว่างหมอกับคนไข้กลับคืนมา ผลการศึกษานี้คุณหมอกล่าวว่า เป็นงานที่ใช้ได้จริงและจะเป็นจริงได้ ถ้าหากเรามีศรัทธาในพระธรรมเป็นแรงจูงใจในการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ในใจตน และหากว่าเราปรารถนาความสุข ผู้อื่นก็ต้องการความสุขเช่นเดียวกัน เป็นความสุขจากข้างในใจตนและสามารถแผ่ขยายสู่ภายนอกสร้างสังคมที่มีสุข ขณะนี้คุณหมอได้นำผลการศึกษานี้จัดทำเป็นหลักสูตรอบรมให้กับนักจัดการความขัดแย้งและผู้ไกล่เกลี่ย เป็นการขยายผลความรู้เข้าสู่ระบบการศึกษาเป็นวงกว้างต่อไป ท้ายสุดแล้วคุณหมอกล่าวว่า แนวคิดนี้ยังสามารถนำไปปรับใช้ในบริบทอื่นๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมหรือการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม นี่คือหนึ่งในผลงานวิจัยที่ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ของสังคมไทยของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่มิได้ “นำไปตั้งไว้บนหิ้ง” แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดและนำไปพัฒนาได้อย่างเห็นผลและเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างชัดเจน ณ. หนูแก้ว/สมหมาย สุภาษิต |
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||