www.weipinxgt.com www.hdf598.com www.rzkfqcg.com www.ywd100.com www.gzunitrade.com www.5aziyuan.com www.alsclean.com www.ynzsgc.com www.sdldtg.com www.i-sarima.com www.aijianbing.com www.xushiweigou.com www.haoyulongsp.com www.binqimotor.com www.kenminamipainting.com www.erli30.com www.cdhg88.com www.horse-home.com www.myjxzp.com www.dgselling.com www.chenlongjiancai.com www.zhongkuanwuliu.com www.huameide-sz.com www.shouxitongban.com www.scgcjx0207.com www.qdshengqian.com www.3w800.com www.kl-ad.com www.imshenghuo.com www.xxanlhw.com www.hfkaibo.com www.wlwservice.com www.jxguanghua.com www.zkld2009.com www.duanem.com www.hzwjzs.com www.chdlav.com www.lyxszl.com www.xinlaihuijiaju.com www.hrwholecare.com www.yingyang168.com www.honeywell-lk.com www.yushusanjiangyuanbao.com www.kangningyiyuan.com www.xzkjsxx.com www.jztushuguan.com www.gksswh.com www.jakjxx.com www.yyxlzw.com www.dwdzxx.com www.shszjzx.com www.skf-nsk-fag-ntn.com www.shanghailvhua.com www.yomandoors.com www.wenchengvote.com www.cn-sportsprotectors.com www.fuyixuantc.com www.jiayongdiant.com www.reshousuoj.com www.wuxitianzhile.com www.lsallx.com www.ravor-system.com www.jhbrq.com www.mirrvoll.com www.likekiwi.com www.hbclzqcj.com www.cqqfbxgm.com www.nmgdwjlw.com www.zmdjtzfw.com www.xunchengchaju.com www.gssx-pxgl.com www.sha-jing.com www.zysjmbj.com www.131701.com www.tlyhyy.com www.hbfbfz.com www.hljpadm.com www.fenxiangzhuan005.com www.jv001.com www.ruiyucnc.com www.zhuochenglaser.com www.zhaoshudeng.com www.facebook-france.com www.yuxianchu.com www.139yes.com www.lazonaentertainment.com www.eastofedens.com www.latelier-gourmet.com www.kaisyomaru.com www.tenglonghb.com www.bdsmfreevids.com www.gzshbzw.com www.ymgb0991.com www.setonohanayome.com www.attachmentmoms.com www.njmzyjg.com www.hi4r.com www.exotic-nails.com www.ef25.com www.lslcxx.com
ข่าวประชาสัมพันธ์
จุฬาฯคลอดแล้ววิจัย'อีก20ปีพระกับการเมือง แนะพระเป็นกลาง นักการเมืองอย่าดึงมาเป็นแนวร่วม
10 ก.พ. 57 | ข่าวมหาวิทยาลัย
192
ข่าวมหาวิทยาลัย
จุฬาฯคลอดแล้ววิจัย'อีก20ปีพระกับการเมือง แนะพระเป็นกลาง นักการเมืองอย่าดึงมาเป็นแนวร่วม
วันที่ ๑๐/๐๒/๒๐๑๔ เข้าชม : ๔๒๙๒ ครั้ง

30 ม.ค.2557 ตามที่ศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศ.กิตติคุณปรีชา ช้างขวัญยืน ผู้อำนวยการ ได้ถวายทุนทำวิจัยเกี่ยวกับพระกับการเมือง ให้กับพระจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จำนวน 2 ทุนๆละ 150,000 บาท คือหัวข้อเรื่อง "แนวโน้วบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" พระที่รับทุนคือ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโทสันติศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย และเรื่อง "พระสงฆ์กับสงครามที่ยุติธรรม" พระที่รับทุนคือพระมหาสมบูรณ์ วุฒิกโร รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มจร ตั้งแต่ปี 2555 นั้น

ล่าสุดพระมหาหรรษาได้เปิดเผยว่า ศ.กิตติคุณปรีชา ได้แจ้งให้ทราบว่า คณะกรรมการได้พิจารณาอนุมัติงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เรื่อง แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า (2556-2576) โดยมิได้มีการแก้ไข" ดังนั้นผู้ใดประสงค์จะอ่านบทสรุปงานวิจัยสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1730&menutype=1&articlegroup_id=278 ส่วนผู้ใดประสงค์จะอ่านงานฉบับสมบูรณ์สามารถอ่านได้ที่ห้องสมุดจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาฯ และห้องสมุดอื่นๆ ซึ่งจะเข้ารูปเล่มและส่งไปให้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผลงานวิจัยดังกล่าวมีข้อเสนอต่อพระสงฆ์ที่เข้าไปแสดงบทบาทต่อการเมือง นักการเมือง และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะสมทั้งต่อพระสงฆ์และนักการเมืองในต่อไป ยกมาเป็นบ้างส่วนดังนี้

 

 

ข้อเสนอแนะต่อพระสงฆ์ในเชิงปัจเจก

 


(1) การเข้าร่วมกับกิจกรรมทางการเมือง จึงควรมีจุดยืนที่ถูกต้อง และเที่ยงธรรม พระสงฆ์ไม่ควรเข้าไปสนับสนุน หรือต่อต้านระบอบการเมือง กลุ่มการเมือง หรือนักการเมืองใดๆ ที่ตนชื่นชอบและเกลียดชังเป็นการส่วนตน แต่ควรมีเมตตา และอุเบกขา พระสงฆ์อาจจะทำหน้าที่เป็น “มัคคุเทศก์” ในการชี้แนะแนวทางแก่นักการเมืองที่มีภูมิคุ้มกันทางคุณธรรมและจริยธรรมที่บกพร่อง และพร้อมที่จะมอบธรรม และคำแนะนำที่เหมาะสมแก่ระบบการเมือง กลุ่มการเมือง และนักการเมืองต่างๆ ในเวลาที่ถูกต้องและเหมาะสม และสอดรับกับความต้องการและสถานการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

(2) อันตรายที่พระสงฆ์ควรระวังเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ก็คือ ลาภ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง การหวังผลในสิ่งเหล่านี้จะทำให้ตัวพระสงฆ์ขาดอิสรภาพในการดำรงสถานะของความเป็นกลางทางการเมือง แทนที่จะทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม และผู้นำทางวิญญาณของประชาชน และนักการเมืองทั่วไป กลับกลายเป็นเครื่องมือและบริวารของนักการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์นักการเมือง

(3) สถานการณ์บางอย่างสะท้อนว่า แม้กฎหมายจะห้ามพระสงฆ์ไม่ให้เข้าไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งทางการเมือง แต่ในเชิงพฤตินัยพระสงฆ์ได้ให้การสนับสนุนนักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองค่อนข้างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากการที่นักการเมืองบางกลุ่มเข้าไปร่วมกิจกรรม และสนับสนุนกิจกรรมของบางวัด ผลเสียที่จะตามมาคือ สำนักต่างๆ อาจจะคำนึกถึงความอยู่รอดของตัวเองโดยไม่ใส่ใจต่อความอยู่รอดของพระศาสนา เมื่อพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งเข้ามามีอำนาจบริหารจัดการรัฐ กิจกรรมที่สัมพันธ์กับนักการเมืองจะลดลง และให้ความสำคัญน้อยลง ฉะนั้น การวางตนเป็นกลางไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบนักการเมือง กลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองก็ตาม โดยไม่แสดงออกในเชิงของการให้คุณและให้โทษแก่นักการเมือง และพรรคการเมืองย่อมเป็นตัวแปรสำคัญที่จะรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ในระยะยาว

 

 

ข้อเสนอแนะต่อสถาบันสงฆ์

 

(1) จากข้อเสนอของนักวิชาการที่คาดหวังต่อสถาบันสงฆ์เพื่อเข้าไปมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสันติสุขให้แก่ประชาชนและสังคมนั้น ผู้วิจัยเห็นว่า เห็นควรจัดตั้งสถาบัน หรือกลุ่มงานด้านจัดการความขัดแย้งในทุกๆ จังหวัด โดยกำหนดให้ 1 จังหวัด 1 ศูนย์จัดการข้อพิพาททั้งประเด็นสิ่งแวดล้อม ครอบครัว วัด ชุมชน วัฒนธรรม และมิติอื่นๆ ในจังหวัดนั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการศึกษา และวิเคราะห์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการความขัดแย้ง และเป็นศูนย์กลางในการจัดการความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

(2) จากความคาดหวังของนักวิชาการ และนักประชาธิปไตยในสังคมไทย มุ่งหวังให้พระสงฆ์เข้าไปร่วมมือกับรัฐ และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยตั้งแต่ฐานรากโดยเริ่มจากชุมชนนั้น สถาบันสงฆ์ควรปรับทิศทางการพัฒนาพระสงฆ์ให้เรียนรู้และเข้าใจการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยอาจจะจับมือกับหน่วยงานภาครัฐจัดหลักสูตรประกาศนียบัตรเกี่ยวกับพระสงฆ์ยุคใหม่กับการพัฒนาประชาธิปไตย แล้วให้พระสงฆ์ได้เข้าไปทำหน้าที่ในการพัฒนาพลเมืองที่พึงประสงค์ในพุทธศตวรรษที่ 26 ตั้งแต่ระดับชุมชนฐานราก

(3) ปัจจุบันนี้ พระสงฆ์บางรูปเข้าไปดำเนินกิจกรรมกับนักการเมืองอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีการขึ้นเวทีเพื่อแสดงความเห็น และวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถาบันสงฆ์ในวงกว้าง ในกรณีที่พระภิกษุเข้าไปแสดงออกทางการเมืองแล้วก่อให้เกิดคำถามถึงความถูกต้องและเหมาะสมนั้น สถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นพระสงฆ์กระแสหลัก และมีพระภิกษุนักวิชาการที่เข้าใจ และเชี่ยวชาญในหลักการพระพุทธศาสนา เห็นควรให้นำพระสงฆ์เหล่านั้นมาเป็นคณะทำงานในชุดอนุกรรมการเพื่อร่วมหาทางตอบคำถามสื่อมวลชน หรือค้นคว้าทำวิจัยเพื่อหาแนวทางในการจัดการกับประเด็นเหล่านั้น

 

 

ข้อเสนอแนะต่อนักการเมืองและผู้นำทางการเมือง

 

(1) จากกรณีที่พระสงฆ์ และนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ไม่มั่นใจในท่าที และแนวทางการพัฒนาพระพุทธศาสนาให้อยู่รอด และมั่นคงได้ จึงเป็นผลให้พระสงฆ์ และนักวิชาการเหล่านั้น ออกมาเรียกร้องเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการใช้สิทธิในการเลือกตั้งนักการเมือง เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในการปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนา จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่นักการเมือง หรือชนชั้นปกครองจะต้องอธิบาย และหาแนวทางพัฒนาพระพุทธศาสนาให้สอดรับกับความต้องการของพระสงฆ์ และนักวิชาการจำนวนมากที่ห่วงใย ซึ่งการเข้าไปศึกษา และพัฒนาให้สอดรับกับข้อเรียกร้องจะเป็นการปิดพื้นที่ไม่ให้พระสงฆ์ได้ใช้ข้ออ้างดังกล่าวเข้ามาสู่การเข้าร่วมกิจกรรมการเมืองกับกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ยากยิ่งขึ้นไปด้วย

(2) จากข้อสังเกตต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 ที่ปิดพื้นที่มิให้พระสงฆ์แสดงออกทางการเมืองโดยการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภานั้น แนวทางดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการสอดรับกับวัฒนธรรม หรือประเพณีทางการเมืองที่เคยปฏิบัติตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป รัฐจะมีชุดอธิบายอย่างไร จึงจะทำให้พระสงฆ์รุ่นใหม่ที่เรียกร้องมิให้มีการจำกัดสิทธิดังกล่าว เพราะการจำกัดเช่นนั้น ถือว่าเป็นการทำให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีการย้อนแย้งกันเอง การร่างกฎหมายรัฐธรรมฉบับใหม่ในอนาคต เชื่อมั่นว่าพระสงฆ์รุ่นใหม่จะเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนประเด็นกฎหมายในลักษณะดังกล่าว จึงเสนอให้ผู้นำทางการเมืองเปิดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นในประเด็นนี้อย่างรอบด้าน และเมื่อแต่ละฝ่ายยอมรับเป็นฉันทามติแล้ว ย่อมจะทำให้การอธิบายเหตุผลเพื่อสนับสนุนต่างๆ มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น

(3) จากที่นักการเมืองตั้งข้อสังเกตของพระสงฆ์ต่อการวิพากษ์นักการเมือง และกล่าวหาว่า “ไม่ใช่กิจของพระสงฆ์” และมีท่าทีในเชิงลบต่อพระสงฆ์นั้น จึงเป็นการสมควรที่นักการเมืองจะต้องเปิดพื้นที่ให้พระสงฆ์ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวเช่นเดียวกับพลเมือง หรือสื่อมวลชนโดยทั่วไป และในขณะเดียวกัน หากมีการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่สุจริตจนก่อให้เกิดการหมิ่นประมาท นักการเมืองสามารถฟ้องร้องได้อยู่แล้ว ความจริงแล้ว นักการเมืองควรน้อมรับต่อท่าทีดังกล่าว และดำเนินตามกรอบ “ปริปุจฉา” คือ การเข้าไปหาสมณะเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองต่างๆ อันจะเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายทางการเมืองมากยิ่งขึ้น

(4) จากการที่กลุ่มคนต่างๆ วิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นที่นักการเมืองชักจูง หรือโน้มน้าวพระสงฆ์ให้ทำหน้าที่เป็น “หัวคะแนน” เพื่อให้ได้มาซึ่งผลในการเลือกตั้งจากประชาชนนั้น จึงเสนอว่า นักการเมืองจำเป็นต้องระมัดระวังบทบาทและท่าทีดังกล่าว เพราะการดำเนินการเช่นนั้นอาจจะได้รับการเลือกตั้งอันเป็นผลประโยชน์ส่วนตน แต่อาจจะนำไปสู่ผลเชิงลบต่อพระสงฆ์ และสถาบันสงฆ์ในระยะยาวมากยิ่งขึ้น เพราะพระสงฆ์หรือวัดในชุมชนมิได้เป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหากแต่เป็นสมบัติสาธารณะที่ทุกพรรคการเมืองจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ เพื่อให้พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริงของทุกกลุ่มในสังคมและชุมชนตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าที่ว่า “สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

(5) นักการเมืองควรประสานความร่วมมือกับพระสงฆ์ในการพัฒนาพลเมือง สนับสนุนทั้งงบประมาณ และเครื่องมือในการพัฒนา โดยเริ่มต้นการศึกษาทำความเข้าใจพุทธธรรมให้ถ่องแท้ โดยมีพระสงฆ์เป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้คำแนะนำ ทั้งในด้านการศึกษา และปฏิบัติ นักการเมืองมีปัจจัยเพียบพร้อม ถวายความสะดวกให้แก่พระสงฆ์โดยตั้งใจว่า “พระสงฆ์รูปใดที่ยังไม่มาก็ขอให้มา ที่มาแล้วขอให้บำเพ็ญสมณธรรมอย่างสันติสุข” โดยการถวายความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกแก่ท่าน เพื่อเปิดพื้นที่ให้พระสงฆ์ได้ทำหน้าที่ในการพัฒนาพลเมืองร่วมกับนักการเมือง

(6) ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองเพื่อช่วงชิงอำนาจในการบริหารบ้านเมือง จนนำไปสู่การแบ่งฝ่าย และเกลียดชังซึ่งกันและกันตามที่ปรากฏในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา (2545-2557) นักการเมืองไม่ควรที่จะอาศัยช่วงจังหวะดังกล่าวดึงพระสงฆ์ทั้งในเชิงองค์กร และปัจเจกบุคคลเข้ามาเป็นแนวร่วม หรือเป็นสัญลักษณ์เพื่อสร้างความยอมรับ และความชอบธรรมทางการเมือง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองการปกครองควร “กัน” พระสงฆ์ออกจากพื้นที่ดังกล่าวด้วยการเปิดพื้นที่ให้พระสงฆ์ได้แสดงบทบาทในการเรียกร้อง หรือสร้างความปรองดองของประชาชนในชาติอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นระบบภายใต้การสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ

(7) จากข้อสังเกตของนักวิชาการ และพระสงฆ์จำนวนมากที่ชี้ชัดว่า ตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา รัฐ หรือผู้นำทางการเมืองได้กันพื้นที่ของศาสนา หรือศีลธรรมออกจากการเมือง คงเหลือไว้เฉพาะการให้ศาสนาเป็นเครื่องมือตอบสนองพิธีกรรมทางการเมืองเท่านั้น ผลเสียที่ตามมาจึงทำให้นักการเมือง หรือผู้นำทางการเมืองขาดคุณธรรมจริยธรรมจนนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นในกิจกรรมและโครงการต่างๆ จึงเห็นสมควรให้ผู้นำทางการเมืองได้เร่งสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการปรับบูรณาการศีลธรรมกับประมวลจริยธรรมของสมาชิกรัฐสภาไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น และนำหลักการดังกล่าวมาพัฒนาให้เป็น “วิถีชีวิต” ที่นักการเมืองต้องปฏิบัติให้สอดรับกับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีต่อไป

 


ที่มา : คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 30-01-2557


แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ
Print This Page    Sent to Friend
แสดงความคิดเห็น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • มจร จัดพิธีถวายพระพรชัยมงคล และเจริญพระพุทธมนต์ เฉลิมพระเกียรติพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
    26 ก.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    7
  • ขอขอบคุณ ดร.สุวรา นาคยศ อาจารย์ประจำภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มอบเงินจำนวน 500,000 บาท สนับสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพฯ
    25 ก.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    223
  • ขอเชิญลงทะเบียนเข้าร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคลและพิธีเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๗
    23 ก.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    243
  • การตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก สมศ. รอบสี่ ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    19 ก.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    89
  • องคมนตรี เชิญหิรัญบัฏ พัดยศ ผ้าไตร และเครื่องยศสมณศักดิ์ ถวายแด่ พระพรหมวัชรธีราจารย์ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.๙,ศ.ดร.) วัดปากน้ำ พระอารามหลวง
    18 ก.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    104