วันที่ 18 มิ.ย.2558 ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้บรรยายพิเศษเรื่อง "การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา" ในการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด ระหว่างวันที่ 17-18 มิ.ย. ๕๘ ตามที่มหาเถรสมาคมร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัด
พระพรหมบัณฑิต กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นคณะทำงานติดตามแนวทางการปฏิรูปพระพุทธศาสนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่มส.ตั้งขึ้น แนวทางการปฏิรูปพระพุทธศาสนาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอ ให้พศ. นำไปศึกษานั้น ยังไม่ได้เข้าเป็นวาระที่ประชุมมส.และยังอยู่ในช่วงที่ต้องระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน แต่เพื่อไม่ให้เกิดภาวะฝุ่นตลบที่นำไปสู่การถกเถียงที่ไม่จำเป็น ขอสรุปรายงานต่างๆ เกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปพระพุทธศาสนา ที่สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พศ.2557 มาตรา 27 ที่ให้สปช.มีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะแนวทาง เพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่างๆ โดยสปช.ไม่ได้มีหน้าที่ผ่านร่างกฎหมายแต่อย่างใด แต่ภารกิจหลักของสปช. คือ ช่วยกันดูร่างที่รัฐธรรมนูญที่กำลังยกร่างหรือเป็นผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ส่วนเรื่องที่สปช.ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อมาศึกษาแนวทางในการปฏิรูปพระพุทธศาสนา คณะทำงานชุดดังกล่าวได้มีข้อเสนอให้เก็บภาษีพระและวัด รวมถึงการหมุนเวียนเจ้าอาวาสทุก 5 ปี ซึ่งในระหว่างการระดมความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อนำมาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พศ. 2505 นั้น ทางมส.ได้ตั้งคณะทำงาน 5 รูปเพื่อคอยติดตามเรื่องนี้เช่นกัน โดยหนึ่งในคณะทำงานมีอาตมาด้วย
ทั้งนี้ในระหว่างที่คณะกรรมการปฏิรูปพระศาสนาได้ศึกษาและระดมความคิดอยู่นั้น ได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนทำให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้จบตัวเองลง โดยใช้เวลาศึกษาแนวทางปฏิรูปพระพุทธศาสนาเพียง 20 วัน จากนั้นนายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสปช.ได้เห็นชอบ และส่งรายงานข้อเสนอชุดนี้เข้าครม. ทางสำนักงานเลขาธิการครม.จึงได้ส่งแนวทางข้อเสนอแนะของสปช.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปศึกษาความเป็นได้ ภายใน 30
เมื่อพศ.ได้รับหนังสือรายงานของสปช. จึงรีบระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น เพื่อหารือเรื่อง รายงานผลการพิจารณาการศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา จนตกเป็นผลึก แนวทางในการปฏิรูปศาสนาที่สอดคล้องกับภารกิจหลักของคณะสงฆ์ 6 ด้าน คือ การปกครอง การเผยแผ่ การศาสนศึกษา การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ และการศึกษาสงเคราะห์ ซึ่งทั้ง 9 หน่วยงานต่างเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวและได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะทำงาน 3 รูป ที่มส.ตั้งขึ้นด้วย โดยล่าลุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เปรยว่าเห็นชอบกับแนวทางปฏิรูปพระพุทธศาสนา ฉบับของพศ.ด้วย
พระพรหมบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า ความสับสนที่เกิดขึ้นในการปฏิรูปพระพุทธศาสนา เกิดจากความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนสับสนคิดว่าการปฏิรูปพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิวัติ ดังนั้นต้องทำความเข้าใจว่า คำว่าปฏิรูปเป็นการหารือกันเพื่อให้เกิดความก้าวหน้า และสิ่งสำคัญในการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ต้องยึดหลักของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ที่ท่านบัญญัติไว้เมื่อ 100 ปีก่อนว่า หากจะปฏิรูปพระพุทธศาสนามีกฎหมายอันพึงอยู่ 3 ประเภท คือ 1.กฎหมายแผ่นดิน 2.พระวินัย และ3.จารีต หากมี 3 สิ่งนี้พ้องต้องกันถึงจะปฏิรูปพระพุทธศาสนาได้
ส่วนเรื่องที่เป็นข้อกังวลของคณะสงฆ์เรื่องเก็บภาษีพระและวัดรวมถึงเรื่องหมุนเวียนเจ้าอาวาส 5 ปีนั้น ยืนยันว่าถึงแม้มีการเสนอต่อครม.ก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติ เพราะไม่มีหน่วยงานใดเห็นด้วย จึงวอนทุกฝ่ายอย่าเอาเรื่องรายละเอียดย่อยมาเป็นข้อพิพาทย์กัน
"ส่วนเรื่องที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ออกมากล่าวว่าสถาบันการศึกษาสงฆ์เน้นเรียนทางโลกมากเกินไปนั้น ไม่มีมูลความจริง เพราะนักศึกษาที่เรียนใน มจร ต่างต้องเรียนแกนพระพุทธศาสนาไม่ต่ำกว่า 50 หน่วยกิต ในส่วนด้านความเหมาะสมนั้น ทาง มจร มีการแบ่งห้องเรียนไม่ให้พระเรียนร่วมกับฆราวาสในระดับปริญาตรี ส่วนปริญญาโทและเอกเรียนร่วมกันได้เนื่องจากมีวุฒิภาวะพอสมควร ในส่วนวิชาอื่นๆ ก็เป็นวิชาที่พระสงฆ์จำเป็นต้องเรียน เพื่อเอาไว้ใช้งานในคณะสงฆ์ เช่น วิชารัฐประศาสนศาสตร์ ที่มีความจำเป็นต้องมีความรู้ เพื่อดูแลจัดการทรัพย์สินภายในวัด ส่วนวิชาอื่นๆ ที่ไม่เหมาะกับสมณสารูปของพระก็จะไม่มีการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งในทุกชั้นปีพระนิสิตจะต้องผ่านหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐานเป็นระยะเวลา 10 วัน อีกทั้งต้องออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นเวลา 1 ปี มิเช่นนั้นก็จะไม่จบหลักสูตร อย่างไรก็ตาม มจร.ถือเป็นสถาบันการศึกษาที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งมาเพื่อให้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง มาเป็นระยะเวลานับ 100 ปี จนออกมาเป็นพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยฯถือ เป็นจารีตปฏิบัติของคณะสงฆ์ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะยังมาตั้งคำถามกันอยู่ทำไม" อธิการบดี มจร กล่าว