www.weipinxgt.com www.hdf598.com www.rzkfqcg.com www.ywd100.com www.gzunitrade.com www.5aziyuan.com www.alsclean.com www.ynzsgc.com www.sdldtg.com www.i-sarima.com www.aijianbing.com www.xushiweigou.com www.haoyulongsp.com www.binqimotor.com www.kenminamipainting.com www.erli30.com www.cdhg88.com www.horse-home.com www.myjxzp.com www.dgselling.com www.chenlongjiancai.com www.zhongkuanwuliu.com www.huameide-sz.com www.shouxitongban.com www.scgcjx0207.com www.qdshengqian.com www.3w800.com www.kl-ad.com www.imshenghuo.com www.xxanlhw.com www.hfkaibo.com www.wlwservice.com www.jxguanghua.com www.zkld2009.com www.duanem.com www.hzwjzs.com www.chdlav.com www.lyxszl.com www.xinlaihuijiaju.com www.hrwholecare.com www.yingyang168.com www.honeywell-lk.com www.yushusanjiangyuanbao.com www.kangningyiyuan.com www.xzkjsxx.com www.jztushuguan.com www.gksswh.com www.jakjxx.com www.yyxlzw.com www.dwdzxx.com www.shszjzx.com www.skf-nsk-fag-ntn.com www.shanghailvhua.com www.yomandoors.com www.wenchengvote.com www.cn-sportsprotectors.com www.fuyixuantc.com www.jiayongdiant.com www.reshousuoj.com www.wuxitianzhile.com www.lsallx.com www.ravor-system.com www.jhbrq.com www.mirrvoll.com www.likekiwi.com www.hbclzqcj.com www.cqqfbxgm.com www.nmgdwjlw.com www.zmdjtzfw.com www.xunchengchaju.com www.gssx-pxgl.com www.sha-jing.com www.zysjmbj.com www.131701.com www.tlyhyy.com www.hbfbfz.com www.hljpadm.com www.fenxiangzhuan005.com www.jv001.com www.ruiyucnc.com www.zhuochenglaser.com www.zhaoshudeng.com www.facebook-france.com www.yuxianchu.com www.139yes.com www.lazonaentertainment.com www.eastofedens.com www.latelier-gourmet.com www.kaisyomaru.com www.tenglonghb.com www.bdsmfreevids.com www.gzshbzw.com www.ymgb0991.com www.setonohanayome.com www.attachmentmoms.com www.njmzyjg.com www.hi4r.com www.exotic-nails.com www.ef25.com www.lslcxx.com
ข่าวประชาสัมพันธ์
พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี มจร : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผนึกกำลังกับผู้นำ 3 ศาสนา เตือนสติสังคมไทย
16 เม.ย. 53 | ข่าวมหาวิทยาลัย
457
ข่าวมหาวิทยาลัย
พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี มจร : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผนึกกำลังกับผู้นำ 3 ศาสนา เตือนสติสังคมไทย
วันที่ ๑๖/๐๔/๒๐๑๐ เข้าชม : ๑๐๖๖๔ ครั้ง

          เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๓ พระธรรมโกศาจารย์ได้รับมอบหมายจากประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเข้าประชุม : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประชุมและแถลงข่าวเรื่อง ”คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผนึกกำลังกับผู้นำ3 ศาสนา เตือนสติสังคมไทย” ณ ห้องประชุม ๗๐๙ ชั้น ๖ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมี ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช ดร.ปริญญา ศิริสารการ และนางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับผู้นำ ๓ ศาสนา ประกอบด้วย  ๑.ศ.ดร.อิมรอน มะลูลีม รักษาการจุฬาราชมนตรี และประธานผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี (ผู้นำศาสนาอิสลาม)  ๒. มุขนายกเกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประมุขอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ (ผู้นำศาสนาคริสต์) ๓. พระเดชพระคุณ พระธรรมโกษาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙,Ph.D.) ศาสตราจารย์, ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์,เจ้าคณะภาค ๒ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (ผู้นำศาสนาพุทธ) โดยการมอบหมายจากเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช 
         พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวว่า "ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสภาวะเผชิญหน้ากัน การเผชิญหน้ากันก็ทราบดีว่า มีผู้ถืออำนาจรัฐฝ่ายหนึ่งและผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหนึ่ง ที่น่าวิตกกังวลก็คือผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายซึ่งมีกระจายอยู่ไปทั่วทำให้นึกถึงภาพของการแตกแยกในเรื่องสมัยโบราณว่าเวลาคนทะเลอะกันถ้าควบคุมไม่ได้มันจะแตกแยกตั้งแต่พื้นปฐพีไปจนถึงพรหมโลก การแตกแยกคือการเผชิญหน้าอย่างนี้ เกิดภาวะฝุ่นตลบ ในภาวะที่ฝุ่นตลบนั้นจะมองไม่ออกว่าใครมิตร ใครศัตรู หรือที่จริงก็คือคนไทยด้วยกัน เกิดการเผชิญหน้า เหมือนคนสองกลุ่มถืออาวุธจ้องใส่กัน ความรุนแรงที่มีทั้งสองฝ่ายเปรียบเหมือนอาวุธเมื่อเผชิญหน้ากัน จ้องใส่กันก็มีความเป็นไปได้ ๑. เรายิงเขาตาย ๒. เขายิงเราตาย ๓. ยิงพร้อมกันตายทั้งคู่ ซึ่งคำว่ายิงในที่นี้ก็คือการทำลาย ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดก็ตาม ถ้าไม่ตั้งสติและทำลายพร้อมกันตายทั้งคู่ คือประเทศชาติตาย ย่อยยับ อับจน ชัยชนะที่ได้มาบนซากปรักหักพังของแผ่นดิน จะมีประโยชน์อะไรดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสไว้ครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ถึงวาระที่เราจะตั้งสติว่า ชัยชนะขอบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบนซากปรักหักพังไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา
          สิ่งที่พูดมาคือความเป็นไปได้ ๓ แบบ คือ
         ๑. เราชนะเขาแพ้ เรียกว่า อัตตาธิปไตย เรายิ่งใหญ่
         ๒. คนอื่นชนะเราแพ้ เรียกว่า โลกาธิปไตย เขายิ่งใหญ่ ซึ่งทั้งสองแบบนี้นำมาสู่ความเครียดแค้นชิงชังไม่ว่าฝ่ายไหนชนะก็จะผูกเวรกัน จองเวรกันไม่รู้จบ แม้จะมาให้ตั้งโต๊ะเจรจาก็จะไปพูดกันแต่เรื่องไม่พอใจใครทำใครก่อน ไม่ได้มานึกถึงปัจจุบันว่าเกิดวิกฤติขึ้นแล้ว เราจะไม่ให้เผชิญหน้า ไม่ให้ชนกันได้อย่างไร ส่วนประเด็นที่พึงปรารถนาคือ ธรรมาธิปไตย คือ ต่างฝ่ายต่างชนะ ไม่มีฝ่ายใดชนะโดยเด็ดขาด เพราะว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรวบเบ็ดเสร็จมันก็อยู่ร่วมกันลำบากก็จะต้องเป็นวงจรแก้แค้นกัน ธรรมาธิปไตย คือต่างฝ่ายต่างอะลุ่มอล่วย เรียกว่าถอยกันคนละก้าว เพราะการที่จะให้เขาชนะบ้างเราชนะบ้าง ก็ต้องยอมกันบ้าง คนไทยเคยขอกันกินมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ แล้วเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากไม่มีการอะลุ่มอล่วย ไม่มีการถอย ตั้งหลัก ตั้งสติ
        (๓)ในที่สุดสังคมไทยก็จะไปสู่ “อนาธิปไตย” ไม่มีขื่อ ไม่มีแปร ไม่มีความศักดิ์สิทธิของกฎหมายระเบียบไม่มีใครทำอะไรได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา แล้วประเทศชาติจะเหลืออะไร ในตอนนี้วาระนี้มาตั้งสติถอยกันคนละก้าว ถ้าเราคิดอย่างนี้ขึ้นมาก็จะเห็นได้ว่า ยิ่งดันทุรัง ยิ่งมุทะลุมันก็เข้าสู่ภาวะชนะศึกแต่แพ้สงคราม เราชนะทุกฝ่ายแต่อยู่บนความย่อยยับของสิ่งที่เราได้มา บางทียอมแพ้ศึกเพื่อชนะสงคราม ยอมแพ้แนวรบย่อย ๆ แต่ส่วนรวมเหลือรอดไว้ ประเทศชาติอยู่รอด สถาบันอยู่รอดทำอย่างไร ภาษาคนไทยแต่โบราณได้พูดเป็นคติเตือนใจ ซึ่งคนมักจะไม่ทำว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” คนบอกว่าเป็นพระก็ต้องแพ้อยู่ร่ำไป มารก็ต้องชนะ ฉะนั้นเป็นมารดีกว่าชนะดีกว่า แต่จริง ๆ เราเข้าใจความหมายคำนี้ผิด คำว่า แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร หมายความว่า เรายอมแพ้ให้ใคร เราเป็นพระในใจของคน ๆ นั้น เราชนะฝ่ายใดร่ำไป เราเป็นมารในใจของคน ๆ นั้น แล้วอย่าลืมว่าคนที่จะมาเป็นมาร คือคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น แล้ววงจรเหล่านี้ก็ไม่ยุติ จะถอยในฝ่ายไหนก็ตามทั้งสองฝ่ายต้องตั้งสติ เพื่อไม่ให้ไปสู่อนาธิปไตย รักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้แล้วก็ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า win win ต่างฝ่ายต่างได้ ต่างฝ่ายต่างชนะ เรียกว่า ธรรมาธิปไตย แต่สถานการณ์ปัจจุบันนี้ มาถึงขั้นเสียหายในเรื่องความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน เข้ามาในวงจรของการจองเวร อาฆาต พยาบาท ใครทำใครก่อน ตั้งสติด้วยการตัดวงจรแห่งการจองเวรนี้ แล้วก็ถามตัวเราด้วยการตั้งสติพินิจพิจารณาว่าเราจะให้วงจรแห่งการแก้แค้นนี้หมุนต่อไปทำลายทุกฝ่ายหรือไม่ ฉะนั้นในทางศาสนาจึงได้ขอให้เราตัดวงจรตรงนี้ด้วยการให้อภัย เยียวยาบาทแผลที่ภายในจิตใจของกันและกัน อย่าเยาะเย้ยกัน อภัยกัน และที่สำคัญก็คือแผ่เมตตา มองกันในแง่ดี ในทางพุทธศาสนานั้นถือว่าในเวลาที่เกิดการเกลียดชัง โกรธแค้นเราไม่เคยมองกันในแง่ดี ทั้ง ๆ ที่เขาก็มีแง่ดีให้มอง เราจะจับจ้องแต่ในแง่ร้ายของกันและกัน แผ่เมตตาคือเอาจุดดีความเป็นคนไทย ความเป็นผู้ที่มีความหวังดีต่อชาติบ้านเมือง ความคิดเห็นอาจจะแตกต่างแต่อย่านำมาสู่ความแตกแยก เมื่อแผ่เมตตากันอย่างที่ว่าแล้ว ให้เกิดสภาวะที่กลับไปสู่คุณค่าแห่งสังคมไทยเดิม ๆ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพได้เคยกล่าวไว้หลายสิบปีมาแล้วว่า
          ประเทศไทยมีคุณธรรมที่รักษาความเป็นไทยอยู่ ๓  ประการ ในสมัยก่อน
          ประการที่ ๑ ความรักอิสรเสรีไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
          ประการที่ ๒ อวิหิงสา คือ การไม่เบียดเบียน ความอดทนอดกลั้น ต่อสิ่งที่แตกต่างกัน เราอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนากันอย่างสามัคคีกัน เพราะความอดทนอดกลั้นยอมรับสิ่งที่แตกต่างจากเรา นี่คือสิ่งที่สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพท่านว่าไว้         
          ประการที่ ๓ คนไทยถนัดในการประสานประโยชน์ หมายความว่าใครมีดีตรงไหนก็มาร่วมกัน มาช่วยกันทำ คนต่างชาติ ต่างศาสนามาประเทศไทยมาอยู่ร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาสังคมไทย พัฒนาบ้านเมืองของเรา การประสานประโยชน์ก็คือให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เราเคยเกิดความขัดแย้ง เราก็สามารถเปลี่ยนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และสร้างสังคมไทยให้เป็นปึกแผ่น ด้วยคุณธรรมทางศาสนา คือ ขันติ ความอดทนต่อความแตกต่าง ใครอาจจะคิดเห็นแตกต่างจากเรา ทนกันได้ ฟังกันได้ เมตตา ความรัก เห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน และอภัยต่อกัน ไม่เพิ่มวงจรแห่งการจองเวรกันต่อไป เพราะฉะนั้นเรามาตั้งสติและแผ่เมตตากัน แผ่เมตตานั้นในทางพุทธศาสนาได้กำหนดไว้เวลาเราสวดมนต์ เราทำกิจกรรมทางศาสนา เราแผ่เมตตากันเพื่อไม่ให้โกรธเกลียดกัน และไม่ได้แผ่เมตตาเฉพาะกลุ่มเราเท่านั้น แผ่ความรักไปทุกกลุ่มทุกฝ่าย
          ท่านจึงใช้คำว่า สัพเพ สัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่ามนุษย์ พวกเขา พวกเรา ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอย่ามีความทุกข์ ขอให้มีความสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด และยิ่งคนที่เราแผ่เมตตาถึงก็คือคนไทยด้วยกัน ทำพร้อม ๆ กัน ในฝ่ายพุทธก็ทำพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ จะเอาเวลาก่อนเคารพธงชาติก็ได้ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ อัพพะยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ หากเราท่องไม่ได้ก็แปลเป็นภาษาไทย สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ. ทำอย่างนี้ค่อย ๆ ดึงสติกลับคืนมาสู่สังคมไทย และค่อย ๆ แกะ ค่อย ๆ แก้จะด้วยวิธีใดก็ตาม ก็จะทำให้นำสันติสุขกลับมาสู่สังคมไทยที่เรารักอีกครั้งหนึ่ง"
         ที่มา http://www.nhrc.or.th/news.php?news_id=6658
         ค้นข่าวโดย พระมหาศรีทนต์ สมจาโร ผู้อำนวยการส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ e-mail  srithont@mcu.ac.th


แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ
Print This Page    Sent to Friend
แสดงความคิดเห็น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • มจร นำคณะ ช่วยน้ำท่วมเชียงใหม่ - ลำพูน
    12 ต.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    27
  • ตั้ง 'ท่านพี่ - น้องหญิง' ทูตท่องเที่ยว ทำพิษ สั่งเลิกอนุกก.ส่งเสริมพระพุทธศาสนาทันที
    09 ต.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    113
  • อธิการบดี มจร แสดงธรรม งานพระราชทานเพลิงผู้เสียชีวิต 23 ราย
    08 ต.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    99
  • มจร มอบหมายผู้บริหาร เป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศล ครูมิ้ม
    05 ต.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    107
  • ผู้บริหารระดับสูง ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มอบหมายให้คณะครุศาสตร์ ให้ความช่วยเหลือแด่ครอบครัวนางสาวสริญญา หอมเกษร (ครูมิ้ม) นิสิตฝึกสอนในสถานศึกษา วิทยาลัยสงฆ์อุทัยธานี นิสิตคณะครุศาสตร์ ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษา
    05 ต.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    238