ข่าวประชาสัมพันธ์
“อธิการบดี มจร”ปลุกสงฆ์ อย่ามัวนั่งหลับตา ด้านนักวิชาการชี้ ความยุติธรรมไม่มี สันติภาพไม่เกิด
10 พ.ค. 53 | ข่าวมหาวิทยาลัย
352
ข่าวมหาวิทยาลัย
อธิการบดี มจรปลุกสงฆ์ อย่ามัวนั่งหลับตา ด้านนักวิชาการชี้ ความยุติธรรมไม่มี สันติภาพไม่เกิด
วันที่ ๑๐/๐๕/๒๐๑๐ เข้าชม : ๑๐๘๔๔ ครั้ง

    มหาจุฬาฯ วังน้อย เมื่อวันที่ 7 พ.ค. พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) กล่าวปฐกถาเปิดการอภิปรายในหัวข้อ พระพุทธศาสนากับปัญหาภาวะโลกร้อน ว่า นิยามความหมายของโลกนั้น พระพุทธเจ้าให้สมัญญาว่า โลกะวิทู แปลว่าผู้รู้แจ้งโลก โลกะวิทูนั้นหมายถึงโลก 3 ประการ พระพุทธเจ้าตรัสว่า 1. เราบัญญัติโลก 2. เหตุเกิดของโลก 3. ความดับของโลก พระพุทธเจ้ารู้ชัดในสังขารโลกและรู้จักสัตวโลกก็คือสังคมมนุษย์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าศึกษาชีวิตของพระองค์เองอย่างดี จึงรู้แจ้งในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ทุกแง่ทุกมุม ทำให้รู้แจ้งในสังขารโลกและสรรพสัตว์ทั้งโลกที่เป็นเพื่อนกัน สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็คือ ภาวะโลกร้อนในพระพุทธศาสนา เมื่อโลกเร่าร้อนตลอดเวลา ก็เธอจะร่าเริงบันเทิงอะไรกันหนอ ภาวะโลกร้อนคือร้อนจากสิ่งแวดล้อม โลกคือชีวิตของเรา โลกคือสังคมซึ่งตอนนี้มันเร่าร้อน ร้อนในจิตใจด้วยโลภะ โทสะ โมหะ แล้วขยายออกเป็นความขัดแย้งในสังคม เป็นความขัดแย้งในบ้านเมืองของเรา เมื่อญาติโยมลำบากลำบนเราจะมานั่งหลับตาไม่สนใจได้อย่างไร ชาวบ้านเขาเดือดร้อนไฟลุกท่วมจนป่านนี้พระคุณเจ้ายังร่าเริงบันเทิงใจอะไรกันหนอ ไม่คิดหาทางออกให้ชาวบ้านบ้างหรือ ภาวะโลกร้อนคนทั่วโลกเขาประชุมกันแต่พระคุณเจ้าของพระพุทธศาสนากลับไม่พูดสักคำ เพระฉะนั้นเราจึงมาช่วยกันแสวงหาทางออก

 

          อธิการบดี มจร.กล่าวต่อไปว่า ในสองประเด็นแรกที่เรียกกันว่าสังขารโลกและสัตวโลกนั้นเป็นความขัดแย้ง ไม่ต้องที่ไหนดูที่บ้านเมืองของเรา ต่างสีก็ทะเลาะกัน ในฐานะที่เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจึงอยู่เฉยไม่ได้ เราต้องออกไปเตือนสติสังคมเมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา โดยการประสานงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่ไปพบอดีตนายกรัฐมนตรี 5 ท่าน แล้วไปหาผู้นำ 3 ศาสนา เชิญไปพูดในเวทีเดียวกัน ส่วนเรื่องที่พูดเกี่ยวกับโลกร้อนวันนี้ จึงขอพูดเรื่องแผ่นดินที่อยู่อาศัย ส่วนสังคมโลกร้อนจะพูดกันในตอนบ่ายโดยวิทยากรท่านอื่น    

การอภิปรายในภาคบ่าย วิทยากรผู้รับเชิญประกอบด้วย พระราชรัตนรังษี ศ.นพ.วันชัย วัฒนพศัพท์ และนางกาญจนาพร ปลอดภัย ดำเนินรายการโดยนายกำภู ภูริภูวดล โดยนางกาญจนาพร กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยว่า ทำให้มองเห็นดวงจิตที่ดิ้นรน ดวงจิตที่ไม่มีความพอเพียง คนนี้ก็อยากได้อย่างนี้ คนนั้นอยากได้อย่างนั้น หรือสีที่แตกต่างกัน สีนี้อยากได้อย่างหนึ่งแต่อีกสีอยากได้อีกอย่างหนึ่ง เป็นความต้องการที่แตกต่างกัน ทางแก้ง่ายๆ แทบไม่ต้องอธิบายให้ยากเลยก็คือ ขอให้เราเชื่อมั่นในคำสอนของพระศาสดาเท่านี้ก็สามารถดับร้อนทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าเป็นความโลภ ความโกรธหรือความหลง แต่ต้องพูดกันรู้เรื่อง พระพุทธศาสนามีไว้สำหรับคนที่พูดกันรู้เรื่อง ถ้าไม่มีหัวใจที่จะพูดกันรู้เรื่อง แน่นอนพระพุทธศาสนาก็คงช่วยอะไรไม่ได้

ด้าน ศ.นพ.วันชัย กล่าวว่า ถ้าจะพูดถึงสันติสุข สันติสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนในสังคมยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความยุติธรรม เมื่อไม่มีความยุติธรรมสันติภาพก็ไม่เกิด บางคนคิดว่ากฎหมายที่ออกมาใช้ในบ้านเราทุกวันนี้ออกมาจากคมช. ถามว่าเป็นกฎหมายที่ยุติธรรมไหม อาจารย์ท่านหนึ่งในภาคอีสานท่านศึกษากฎหมายครอบครัวโบราณว่า ถ้าภรรยามีชู้ให้โบย 10 ที ถ้าสามีมีชู้ให้แล้วแก่กัน ต้องมาถามว่าใครออกกฎหมาย ก็ตอบว่ากลุ่มผู้ชายออกกฎหมาย ดังนั้นยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรรมก็ต้องอยู่ที่คนออกกฎหมาย ความยุติธรรมที่ดีต้องมีกฎหมายที่ยุติธรรม

ศ.นพ.วันชัย กล่าวอีกว่า เคยไปบรรยายที่ภาคใต้ ผู้ใหญ่บ้านชาวมุสลิมเสนอว่าถ้าคนมีเพียงศีล 5 ปัญหาในภาคใต้ก็แก้ได้ ดังนั้นศีลจึงเป็นเรื่องสำคัญ และหัวใจที่สำคัญคือความไว้วางใจ ความไว้วางใจเดี๋ยวนี้ไม่มีในเสื้อเหลืองเสื้อแดง เรื่องนี้ใครถูกใครผิดตอบยาก แม้คนในครอบครัวเดียวกันก็ยังแบ่งเป็นเขาเป็นเรา นอกจากพวกเขาพวกเราแล้วยังมีการเปลี่ยนเป็นพวกมัน  เหตุการณ์ในรวันดาชนเผ่ากุสชี่กับมูตูไล่ฆ่ากัน ต่างฝ่ายต่างมองฝ่ายตรงข้ามเป็นแมงสาปที่ต้องขยี้ด้วยเท้า เพราะเป็นพวกมัน เหมือนกับเวลานี้ที่คนไทยแบ่งเป็น 2 พวก สิ่งที่อยากบอกก็คือ ความที่ไม่ใช่พวกเรา ถ้าเป็นพวกเราไว้ใจ ถ้าเป็นพวกเขาไม่ไว้ใจ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนำไปสู่ความยุติธรรมที่แตกต่างกัน มีนักกฎหมายท่านหนึ่งบอกว่า กฎหมายมหาชนของเมืองไทยมีไว้ใช้กับคนที่ไม่รู้จักกัน บ้านเมืองเราใช้สองมาตรฐานทุกแห่ง  

ผมเป็นแพทย์ สมัยเรียนเขาสอนผมให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ภาษาบาลีเรียกว่า อัตตานัง อุปปมังกเร เอาใจเขามาใส่ใจเรา หมอมักเจอคนไข้ที่เจ็บปวดทุกวัน เวลาเลือดออกบอกว่าออกเท่านี้ไม่ตายหรอก เวลาตัวเองเลือดออกบ้างก็จะเป็นจะตาย เพราะฉะนั้นการเรียนแพทย์สมัย 40 ปีที่แล้ว เขาสอนให้นักเรียนแพทย์หัดจิ้มเข็มกันเองก่อน จะได้รู้ว่ามันเจ็บอย่างไร พอขึ้นปีสองเขาหัดให้เอาสายยางแยงจมูก ให้นักเรียนแพทย์ผลัดกันแยง เพื่อจะได้รู้ว่ามันเจ็บแค่ไหนก่อนที่จะไปแยงชาวบ้านเขา ถ้าคนในโลกนี้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา อะไรๆ มันจะดีขึ้นอีกแยะ ศ.นพ.วันชัย กล่าว

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่/ข่าว/ภาพ


แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ
Print This Page    Sent to Friend
แสดงความคิดเห็น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ทำบุญปีใหม่ มจร 2568 จับฉลากล ลุ้นรางวัล
    15 ม.ค. 68 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    47
  • พิธีถวายพระพรชัยมงคลและเจริญพระพุทธมนต์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่ากับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช ๒๕๖๘
    15 ม.ค. 68 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    50
  • "อ.เบียร์ คนตื่นธรรม" ข้ากราบสักการะ "พระเทพวัชรสารบัณฑิต" ปมเปรียบพระเกจิกับสุนัข
    11 ม.ค. 68 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    118
  • พิธีอัญเชิญปัจจัยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 8 มกราคม โดย นายกิติภัค เกษรสิริธร ผู้แทนพระองค์
    08 ม.ค. 68 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    127
  • "อาจารย์ ม.สงฆ์ มจร" นำสัมมนานานาชาติ เสริมพลังพุทธศาสนาและวรรณกรรมเพื่อความเท่าเทียม
    07 ม.ค. 68 | ข่าวมหาวิทยาลัย
    103