![]() |
สังฆราชกัมพูชาชี้ ไทย-กัมพูชาทั้งผองล้วนพี่น้องกัน | ||
วันที่ ๑๙/๐๓/๒๐๑๑ | เข้าชม : ๘๑๕๔ ครั้ง | |
เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมานั้น ได้มีการประชุมและสัมมนาโต๊ะกลมนานาชาติ เรื่อง “ความสมานฉันท์ และการสร้างสันติภาพ: บทบาทของพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมทางศาสนาอื่นๆ ต่อประเด็นความจริง ความยุติธรรม การเยียวยาหลังความขัดแย้งในสังคมเอเซีย” (The Role of Buddhism and Other Religious Traditions Truth, Justice, and Healing in Post-Conflict Asian Societies) ณ ประเทศสิงค์โปร์ ซึ่งดำเนินการจัดโดยสมาคมศาสนาเพื่อสันติภาพ และสถาบันเพื่อสันติภาพสหรัฐอเมริกา (United States Institute of Peace: USIP) ในประชุมและสัมมนาโต๊ะกลมครั้งนี้ ได้มีผู้นำศาสนา และนักวิชาการด้านศาสนาในประเทศต่างๆ แถบประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว พม่า สิงค์โปร์ ศรีลังกา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และไทย เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ เกี่ยวกับการสร้างความสมานฉันท์และสันติภาพ จำนวนทั้งสิ้น ๗๕ รูป/คน ซึ่งทุกท่านที่ได้รับเชิญเข้าร่วมล้วนมีประสบการณ์ในการเข้าไปเกี่ยวกับการ จัดการความขัดแย้งในมิติใดมิติหนึ่งมาแล้วในอดีต และได้นำประสบการณ์เหล่านั้นมานำเสนอ ซิสเตอร์ เทเรซ่า (Sister Theresa L.H. Seow) ในฐานะเลขานุการกิตติมศักดิ์ขององค์กรด้านศาสนาประเทศสิงค์โปร์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “เรื่องราว และบทเรียนจากคนอื่นๆ อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นๆ” (The story from others might be useful for others) สมเด็จเทพ วงค์ อัครมหาสังฆราชประเทศกัมพูชา ในฐานะเป็นองค์ปาฐกถาพิเศษได้นำเสนอประสบการณ์ที่น่าสนใจว่า “ในอดีตที่ผ่านมานั้น ประเทศกัมพูชาได้เกิดสงครามกลางเมือง และนำไปสู่กรณีทุ่งสังหาร ความขัดแย้งเรื่องชาติพันธุ์ก่อให้เกิดความรุนแรง ผลเสียที่เกิดขึ้นคือ ประชาชนจำนวนมากได้ทำร้ายและฆ่ากันโดยมุ่งหวังอำนาจ และผลประโยชน์ทางการเมือง อย่างไรก็ดี การให้อภัยเป็นบทเรียนสำคัญที่เราต้องนำมาใช้พัฒนาตัวเอง และสังคม เพราะมนุษย์ทุกคนมิใช่คนที่สมบูรณ์แบบ และไม่เคยมีมนุษย์คนใดที่ไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาดบกพร่อง” “การจะให้อภัยกันนั้น เราไม่ควรนำอดีต หรือประวัติศาสตร์มาตอกย้ำหรือตำหนิเพื่อนมนุษย์เพื่อเปิดปากแผลของความไม่เข้าใจกันอันจะนำไปสู่การทำร้าย และทำลายซึ่งกันและกัน จะเห็นได้จากกรณีประสาทเขาพระวิหาร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็น “เหตุการณ์บ้าๆ” (Abnormal Situation) ของคนบางกลุ่มที่พยายามจะนำการเมืองระหว่างประเทศไปสร้างความแตกแยกของคนทั้งสองประเทศ จะเห็นว่า พระสงฆ์ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกดังจะเห็นได้จากการที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่มหาจุฬาฯ ได้นิมนต์อยู่เสมอ พระมหากษัตริย์ของทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และประชาชนที่อยู่ในแถบชายแดนก็อยู่ร่วมกัน ไปมาหาสู่กันประดุจญาติมิตร” สมเด็จเทพ วงค์ได้ยกกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับประสาทเขาพระวิหารที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างน่าสนใจ พณฯ จอร์ช โย (H.E. Georgh Yeo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ประเทศสิงค์โปร์ ได้นำเสนอประเด็น “การสร้างสังคมสันติสุข” เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “รัฐบาลประเทศสิงค์โปร์มีนโยบายที่จะทำให้กลุ่มต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในสิงค์โปร์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขท่ามกลางพหุวัฒนธรรม และความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาต่างๆ ในสิงค์โปร์ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเชื่อมให้กลุ่มชนต่างๆ อยู่ร่วมกันถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ยกตัวอย่างเช่นการใช้เครื่องเสียงเพื่อสวดมนต์ วัด โบสถ์คริสต์ และมัสยิด จะต้องหันลำโพงเครื่องเสียงเข้าไปในสถานที่ของตัวเองเพื่อเป็นการไม่รบกวน เพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลจะจัดช่องวิทยุให้หนึ่งช่องเพื่อให้กลุ่มคนที่นับถือศาสนาต่างๆ ได้เปิดฟังเป็นการส่วนตัว” “เราไม่แปลกใจว่า เพราะเหตุใด ประเทศต่างๆ จึงให้ความสนใจประเทศสิงค์โปร์ ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทข้ามชาติ การจัดสัมมนาระดับนานาชาติ และกลุ่มคนต่างๆ มักจะเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจ และศึกษาดูงานเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของคนต่างวัฒนธรรม เชื้อชาติ และศาสนาอยู่เสมอ และเรามุ่งหวังที่จะทำให้สิงค์โปร์เป็นประเทศแบบอย่างที่มีความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ และประชาชนกลุ่มต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขท่ามกลางความกลางแตกต่าง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ สิงค์โปร์กล่าวเพิ่มเติม พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ได้กล่าวถึงประสบการณ์ในการทำงานด้านสันติภาพว่า “ความจริง (Truth) ความยุติธรรม (Justice) อภัยทาน (Forgiveness) และความปรองดอง (Reconciliation) เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เมื่อใดก็ตามที่สังคม หรือชุมชนขัดแย้งจนนำไปสู่การแสดงออกซึ่งความรุนแรงต่อกันนั้น ความจริงเป็นสิ่งสำคัญที่คนในสังคมจะต้องช่วยกันค้นหาโดยอาจจะใช้วิธีการสานเสวนา (Dialogue) หรือการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเสาะหา เพราะความจริง (Truth) จะนำไปสู่ความไว้วางใจ (Trust) ระหว่างคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน เมื่อเราความจริงอย่างรอบด้านแล้ว เราอาจจะนำหลักการทางกฎหมายเข้าไปดำเนินการเพื่อให้สอดรับกับความเป็นไปของสถานการณ์ ในขณะเดียวกัน เมื่อความจริงปรากฎแล้ว มาตรการการเยียวยากลุ่มคนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจำเป็นจะต้องดำเนินการ เพราะสิ่งเหล่านี้ จะนำไปสู่การให้อภัยซึ่งกันและกัน และจะทำให้กลุ่มคนต่างๆ อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขภายใต้ประโยชน์และความต้องการที่แตกต่างกัน” จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้แทนทางการเมือง และศาสนาต่างๆ ครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดผลในเชิงบวกต่อมุมมอง และท่าทีของกลุ่มคนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะการเรียนรู้พหุวัฒนธรรมจะก่อให้เกิด “ความเข้าใจ และยอมรับความที่เขาเป็นเขา โดยไม่พยายามที่นำเขามาเป็นเรา” ดังจะเห็นได้จากมุมมองของผู้เข้าสัมมนาที่สอดคล้องกันว่า “เกื้อกูน แต่ไม่ก้าวก่าย เข้าใจแต่ไม่ปะปน” บทความภาษาอังกฤษ File Powerpoint |
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||
![]() ![]() |