คมชัดลึก : “ผู้นำที่ดีควรทำตัวเหมือนลินคอล์น คือ ความพยายามทำลายศัตรู ด้วยการเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร การเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร คือ วิธีการทำลายศัตรูแบบถอนรากถอนโคน เพราะไม่ต้องมีการจองเวรกันอีกต่อไป ในขณะที่สุภาษิตจีนสอนว่า มีมิตรห้าร้อยคน ยังนับว่าน้อยเกินไป มีศัตรูหนึ่งคนยังนับว่ามากเกินไป”
นี่เป็นส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม ที่พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิโต ป.ธ.๙ ) ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เขียนไว้ในหนังสือ “ปัญญาคู่กับกรุณาจึงจะพาชาติรอด”
ทั้งนี้ พระธรรมโกศาจารย์ได้แสดงปาฐกถาธรรมไว้ว่า ประเทศไทยรอดพ้นวิกฤติชาติมาหลายครั้ง ก็เพราะเราใช้ปัญญาคู่กับกรุณา สังคมไทยที่เคยแตกเป็นเสี่ยงในสมัยที่สู้กับภัยคอมมิวนิสต์ แต่เราก็เอาชนะคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จด้วยคำสั่ง ๖๖/๒๓ ที่เปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตร สังคมไทยสมัยนั้นมีน้ำใจกรุณาจึงต้องรับอดีตผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทั้งหมดให้กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย นี่เป็นนโยบายที่หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์เคยพยายามเลียนแบบมาแล้ว
ภาษิตที่ว่า "แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร" นั้น คนไทยสมัยนี้มักเข้าใจผิดว่า พระต้องเป็นฝ่ายแพ้ตลอดเวลา มารต้องเป็นฝ่ายชนะเสมอ เราควรทำความเข้าใจภาษิตนี้ให้ถูกต้องเสียใหม่ว่า ภาษิตนี้ไม่ได้หมายถึงว่า ความพ่ายแพ้เป็นของพระ ชัยชนะเป็นของมาร แต่ภาษิตนี้หมายความว่า แพ้เป็นพระหมายถึงว่า เรายอมแพ้ให้ใคร เราเป็นพระในใจของคนคนนั้น เราเอาชนะใครร่ำไป เราเป็นมารในใจของคนคนนั้น พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักยอมแพ้เพื่อเอาชนะใจเรา
สังคมไทยทุกวันนี้จะรอดพ้นวิกฤติทางการเมืองหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนไทยจะมีท่าทีแบบธรรมาธิปไตยมากน้อยเพียงใด สิ่งที่หน้าเป็นห่วงก็คือ กลุ่มที่เผชิญหากันทุกวันนี้ต่างขาดทั้งปัญญาและกรุณา ซึ่งจะทำให้สังคมไทยกลายเป็นอนาธิปไตย คือ สภาพที่ไม่มีขื่อไม่มีแป ต่างใช้ความรุนแรงเข้าหากัน อันมีผลให้ต่างฝ่ายต่างแพ้ และที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ
ธรรมาธิปไตยที่ใช้ปัญญาคู่กับกรุณาจึงจะพาชาติรอดพ้นจากวิกฤติการเมืองนั้น ในการพูดคุยเพื่อสร้างความปรองดองเราต้องพยายามให้แต่ละฝ่ายรู้สึกว่าเขาชนะ ไม่มีฝ่ายใดชนะแบบกินรวบอยู่ฝ่ายเดียว คนไทยต้องเลือกระหว่าง “ชนะศึกแต่แพ้สงคราม” กับ “แพ้ศึกแต่ชนะลงคราม”
พร้อมกันนี้ พระธรรมโกศาจารย์ได้อธิบายด้วยว่า ชนะศึกแต่แพ้สงคราม หมายถึง เราชนะแนวรบย่อยแต่แพ้สงครามใหญ่ คือ ชนะศึกเล็กๆ หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็เสียกรุงให้แก่ข้าศึก เช่น นักศึกษาเถียงชนะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์แล้วเรียนไม่จบปริญญาโท เพราะทะเลาะกับอาจารย์ที่ปรึกษา การที่คนไทยแต่ละกลุ่มแต่ละสีพยายามเอาชนะคะคานกันร่ำไป ต่างฝ่ายต่างเอาชนะบนซากปรักหักพังของประเทศชาติ นี่เราเรียกว่า ชนะศึกแต่แพ้สงคราม
ส่วน “แพ้ศึกแต่ชนะลงคราม” นั้น พระธรรมโกศาจารย์ได้อธิบายว่า เรายอมแพ้ในสงครามย่อยแต่ชนะสงครามใหญ่ นั่นคือ ยอมแพ้ศึกเล็กๆ แต่เป็นฝ่ายชนะสงครามใหญ่ในที่สุด เรายอมถอยในบางแนวรบ เพื่อให้ส่วนรวมอยู่รอด เรียกว่า แพ้ศึกแต่ชนะลงคราม
ในครอบครัวเดียวกัน สามีภรรยาคิดแต่เอาชนะคะคานกันตลอดเวลา ทุ่มเถียงทะเลาะกันไม่รู้จักจบ จนในที่สุดครอบครัวต้องแตกแยกหรือหย่าร้างแยกทางกันไป อย่างนี้เรียกว่า ชนะศึกแต่แพ้สงคราม ชัยชนะอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร
“โบราณสอนว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ นั่นคือว่า ถ้ารักจะคบใครให้ยืดยาว ต้องรู้จักตัดคำพูดให้สั้นลงบ้าง ถ้าคิดจะคบกันชั่วครั้งชั่วคราว ให้ต่อความยาวสาวความยืด ทำอย่างนี้ไม่นานก็ต้องเลิกคบกัน ความสำเร็จในการสมานรอยแตกร้าวของสังคงไทยในอดีตแสดงให้เห็นว่า สังคมไทยไม่อับจนปัญญา แต่ที่วันนี้ยังแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยไม่ได้ เพราะคนไทยมีความกรุณาต่อกันน้อยไปหน่อยกระมัง” พระธรรมโกศาจารย์กล่าวสรุป
อิฏฐารมณ์-อนิฏฐารมณ์
หัวข้อธรรมเรือง "อิฏฐารมณ์ และ อนิฏฐารมณ์" เป็นธรรมะที่พระธรรมโกศาจารย์เขียนไว้ในคำนำ หรือวรคติธรรม ของหนังสือ “ปัญญาคู่กับกรุณาจึงจะพาชาติรอด” โดยได้อธิบายไว้ว่า สัจธรรมที่อยู่คู่โลก คือ โลกธรรม ฝ่ายที่เราพอใจเรียกว่า อิฏฐารมณ์ คือ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับสรรเสริญ ได้สุข ฝ่ายที่เราไม่พอใจ เรียกว่า อนิฏฐารมณ์ คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา เป็นทุกข์ ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนหนีไม่พ้นโลกธรรม เพราะเป็นธรรมที่อยู่คู่โลกเพียงแต่เราต้องมองผ่านโลกธรรมนี้ให้เป็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เกิดทั้งหมดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เมื่อพิจารณาได้เช่นนี้ ทั้งอารมณ์ที่พอใจ และไม่พอใจก็ไม่สามารถครอบงำจิตใจได้ เราก็อยู่บนโลกอย่างที่เราปรารถนา ที่สำคัญก็คือ เมื่อเราได้อิฏฐารมณ์ก็ไม่ควรหลงระเริง และขณะเดียวกันเมื่อประสบกับอนิฏฐารมณ์ก็ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อผ่าทางตันไปให้ได้
“ความพยายามทำลายศัตรู ด้วยการเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร คือ วิธีการทำลายศัตรูแบบถอนรากถอนโคน เพราะไม่ต้องมีการจองเวรกันอีกต่อไป”
เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
ที่มา; หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 20 เมษายน 2554