![]() |
อธิการบดี มจร แนะบัณฑิตใหม่ช่วยปรองดองลดเหลื่อมล้ำ ไม่มีเวรภัย ต้องลืมและให้อภัยกัน | ||
วันที่ ๓๐/๐๔/๒๐๑๑ | เข้าชม : ๗๑๕๖ ครั้ง | |
มจร วังน้อย 29 เม.ย.; พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวในการปาฐกถา เรื่อง “พุทธิปัญญากับการสร้างสังคมปรองดอง” ในพิธีประสาทปริญญามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจำปี 2554 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 เม.ย. และ 1 พ.ค. ณ อาคารมวก. 48 พรรษา อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า มหาวิทยาลัยเราสอนสายกลาง ตีความแบบผู้เรียนไปคิดเอาเอง ไม่สอนอย่างสุดโต่งรุนแรง สอนอย่างมีเหตุผลเพื่อให้เกิดพุทธิปัญญา ความปรองดองก็เกิดขึ้น เราต้อนรับเพื่อนชาวพุทธจากทุกมุมโลก ไม่มีการปลูกฝังยัดเยียดว่าท่านจะต้องคิดอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อใดก็ตามถ้าเราสอนแบบปิดหูปิดตา เอาแต่พวกเราเอาแต่นิกายเรา วิธีคิดเรามันก็จะเกิดความรุนแรง ดูทีวีอยู่ช่องเดียวมีที่ไหน ทางการเมืองก็รุนแรง แต่ถ้าเราปล่อยให้หลากหลายความปรองดองด้วยพุทธปัญญาก็เกิดขึ้น เมื่อฟังหลายๆ ฝ่าย อ่านหลายๆ ที่ คิดหลายๆ ด้าน พูดต้องพูดให้รอบด้าน ปัจจุบันภัยคุกคามต่ออธิปไตยประเทศมันน้อยลง แต่มันมีภัยคุกคามต่อความมั่นคงของมนุษย์ จึงมีการตั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขึ้นมา ฉะนั้น งานของพวกเราในยุคนี้ก็คือ ใส่ใจเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ อธิการบดี มจร กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯเกิดขึ้นเมื่อปี 2545 ตั้งขึ้นมาเพราะอะไร เพราะความมั่นคงของมนุษย์เป็นรากฐานความมั่นคงของสังคมและของชาติ เมื่อมนุษย์มีความมั่นคงสังคมก็เกิดความมั่นคง ประเทศชาติก็เกิดความมั่นคง นำไปสู่ความมั่นคงต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะสามเสาหลักนี้คือความมั่นคงภายในชาติ อันนี้คืองานที่เราต้องทำ บัณฑิตหรือใครก็ตาม ต้องทำอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.ให้คนในประเทศนี้อยู่กันอย่างปราศจากความกลัว ไม่มีเวรไม่มีภัยต่อกัน ปรองดองต่อกัน สมานฉันท์กัน 2.ให้มนุษย์ในโลกนี้โดยเฉพาะในประเทศนี้อยู่กันอย่างปราศจากความขาดแคลนหรือความยากจน ให้อยู่กันอย่างมีความยุติธรรม ยุติธรรมในการกระจายรายได้ ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ฝ่ายรวยก็รวยล้นฟ้า ฝ่ายจนก็จนจมดิ่งติดดิน “ชีวิตนี้เมื่อท่านเรียนจบมหาจุฬาแล้วท่านจะไปกลับไปทำอะไร ตอบไปช่วยประเทศนี้ให้เกิดการอยู่แบบไม่มีเวรมีภัยต่อกัน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าในภาคใต้หรือในกรุงเทพฯอย่าให้มีความขัดแย้งหรือความรุนแรง เมื่อความรุนแรงมันยังมีอยู่ ความขาดแคลนมันยังมีอยู่ เรากองทัพธรรมจะไปช่วยปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้และสร้างภาวะที่อยู่อย่างไร้เวรภัย ปรองดองกัน และไม่มีความยากจน บางทีความยากจนก็พาไปสู่ความรุนแรง เกิดปะทะกันเกิดรบกัน ทำให้เสียความมั่นคงของชาติ” พระธรรมโกศาจารย์ กล่าว พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าเราเคารพความหลากหลายเราก็อยู่ร่วมอย่างสันติได้ ส่วนภูมิภาค ต่างจังหวัด ต่างประเทศ เราก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเพราะเรามีขันติธรรม และขันติธรรมที่เป็นภูมิปัญญาเป็นนโยบายที่ชัดเจนมาก จึงอยากเตือนความจำพวกเราว่า มีความปราณีความปรองดองอยู่ที่ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ที่ไม่เอาการทหารนำการเมือง ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ให้อดอยาก ไม่ให้อยู่กันอย่างหวาดกลัว ไม่มีการจับแล้วเผาหรือฆ่าเงียบ และเอาชนะด้วยธรรมะในความเป็นคนไทยด้วยกัน เนื้อหาคำสั่ง 66/23 นี้ มีแต่ความปรองดองอยากให้ไปดู แล้วทำไมเราไม่เอามาใช้ตอนนี้ “ข้อ 42 น่าสนใจ ขจัดเหตุแห่งความไม่เป็นธรรมทุกระดับ ความไม่เป็นธรรมนำมาเป็นเหตุข้ออ้างให้ความรุนแรงยังคงอยู่ ป้องกันและปราบปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการอย่างเฉียบขาด สมัยนี้เราพูดถึงเรื่องคอรัปชั่นกันไหม ปราบไหม ประเทศที่โปร่งใสเราถูกจัดอันดับอยู่ที่ 80 แล้วจะเกิดความมั่นคงของมนุษย์ได้อย่างไร จะขจัดความขาดแคลนได้อย่างไร ให้ลืมและให้อภัยกัน ปฏิบัติตามข้อ 47 ปฏิบัติต่อผู้ก่อการร้ายที่มอบตัวหรือถูกจับได้อย่างเพื่อนประชาชนร่วมชาติ มีเขียนไว้ชัดเจน ขนาดคอมมิวนิสต์สีแดงยังเป็นเพื่อนร่วมพัฒนาชาติไทยได้ ถ้าไม่มีการให้อภัยทาน ไม่คิดที่จะลืมซึ่งความหลัง จะหาความสามัคคียากลำบากจัง ความผิดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน” อธิการบดี มจร กล่าวในที่สุด สมหมาย สุภาษิต/ภาพ/ข่าว
|
แหล่งข่าว : ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ | ||
![]() ![]() |